โรค หูชั้นนอกอักเสบ (Acute otitis externa) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
หูชั้นนอกอักเสบ (Otitis externa หรือ Swimmer's ear) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย แต่จะพบได้มากในวัยหนุ่มสาว ซึ่งอาการของหูชั้นนอกอักเสบมักจะเกิดภายหลังการแคะหู หรือ หลังจากมีน้ำเข้าหูแล้วพยายามเช็ดหู โดยเฉพาะหลังการเล่นน้ำหรือว่ายน้ำ อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อ Staphylococcus aureus หรือเกิดจากเชื้อรา หรือผื่นแพ้ก็ได้ ดังนั้นการได้รับการวินิจฉัยและรับการรักษาตั้งแต่เริ่มแรกจะทำให้โรคนี้หายเร็วและป้องกันไม่ให้โรคลุกลามหรือเป็นรุนแรงได้
อาการของโรค
- ปวดหู
- คันหู หรือระคายเคืองในรูหูส่วนนอก
- หูอื้อ
- ผิวหนังของรูหูส่วนนอกบวมแดง อาจเห็นลักษณะหัวฝี
- เวลาดึงใบหู หรือ กดที่หน้าต่อใบหูจะมีอาการเจ็บมาก
- อาจมีน้ำเหลืองเยิ้มที่ใบหู หรือมีน้ำไหลออกมาจากรูหูได้
- ในเด็กเล็กหรือรายที่เป็นมาก อาจพบไข้ร่วมด้วยได้
- อาจพบต่อมน้ำเหลือง บริเวณหน้าหรือหลังหูโตได้
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ด้วยการซักประวัติและตรวจร่างกาย
แนวทางการดูแลรักษา
- แพทย์จะให้การรักษาไปตามสาเหตุ โดยเริ่มจากการทำความสะอาดรูหูโดยใช้ไม้พันสำลีเช็ดออกเบาๆ หรือใช้เครื่องมือดูดเอาหนองหรือขี้หูออก (การทำความสะอาดรูหูจะต้องกระทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการล้างหูหรือแคะหูด้วยตนเอง)
- ให้รับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น Amoxycillin หรือ Erythromycin ประมาณ 7-14 วัน เพื่อรักษาการติดเชื้อในรูหูชั้นนอก (ผู้ป่วยควรรับประทานยาให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่หยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม)
- ให้รับประทานยาแก้ปวดร่วมด้วยได้ เช่น Paracetamol หรือ Ibuprofen
- บางรายแพทย์อาจสั่งเป็นยาฆ่าเชื้อแบบหยอดหู หยอดหูวันละ 3-4 ครั้ง ร่วมด้วยกับยาฆ่าเชื้อแบบรับประทาน
- ในระหว่างที่มีอาการ ควรระวังอย่าให้น้ำเข้าหู เช่น การไม่ลงเล่นน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง และควรใช้สำลีอุดรูหูในขณะอาบน้ำด้วย
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
หู คอ จมูก, กุมารแพทย์ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
- หลังจากรับประทานยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาปรับยาที่ใช้ เนื่องจากอาจเป็นเชื้อดื้อยาได้
- ในรายที่เป็นรุนแรงอาจทำให้ใบหูยื่นไปข้างหน้าได้ บริเวณกระดูกหลังใบหูมีการบวมแดงและกดเจ็บ หรือ มีอัมพาตของเส้นประสาทเลี้ยงบริเวณใบหน้าทำให้หน้าเบี้ยว หรือถ้าเป็นมากขึ้นอาจติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง หรือสมองอักเสบได้ จึงควรรีบมาพบแพทย์โดยด่วน หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.rcot.org/2016/People/Detail/24 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3567906/