ปวดหัวตรงไหน เป็นอะไรได้บ้าง..?


เขียนโดย
ตรวจสอบข้อมูลโดย

ปวดหัวตรงไหน เป็นอะไร..? รักษาถูกจุด ไม่เรื้อรัง !
แน่นอนว่า ทุกคนต้องเคยปวดหัว ไม่ว่าจะเพราะความเครียดจากการทำงาน การเรียน หรือเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต แต่เราเคยสังเกตหรือไหมว่า….บางทีเราปวดหัวทั้งหัว ปวดด้านซ้าย ด้านขวา หรือบางทีปวดตรงเบ้าตา
ตำแหน่งเหล่านี้ บอกอะไรเราหรือเปล่า..?
วันนี้ Agnos พามาไขข้อสงสัย ปวดหัวตรงไหน บอกความเสี่ยงอะไรเราได้บ้าง !
พามาดูกับตำแหน่งยอดฮิต…
ปวดหัวข้างขวา
ปวดหัวข้างขวา สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และนอกจากนั้น อาการปวดอาจลามไปที่อื่น เช่น หนังศีรษะ คอ หรือแม้แต่บริเวณฟันเป็นต้น
แล้วมันเกิดจากอะไรล่ะ..?
อาการปวดหัวด้านขวา อาจเกิดจาก :
พฤติกรรมของเราในชีวิตประจำวัน อย่าง ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ
อาการเจ็บป่วยบางอย่างของเรา อย่าง โรคภูมิแพ้ ไซนัส จนไปถึงโรคร้ายแรงอย่างเนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งนั่นเอง
นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิด หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ก็อาจทำให้เราเกิดอาการปวดหัวได้ เช่น การใช้ยาแก้ปวดเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวด้านขวาได้
อาการปวดหัวด้านขวาแต่ละประเภทอาจมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ปวดหัวจากความเครียด
ผู้ป่วยบางรายอาจปวดทั้งสองข้าง หรือปวดหัวข้างเดียวได้ โดยจะมีอาการปวดตื้อๆ คล้ายๆโดนรัดหัว จากการเกร็งกล้ามเนื้อ
แน่นอนว่าบางคน อาจทำให้เกิดอาการป่วยที่บริเวณไหล่และคอด้วย
เจ้าอาการปวดหัวจากความเครียดเนี่ย ทำให้เราไม่มีสมาธิ เหนื่อย ไวต่อสิ่งต่างๆ เช่น แสงหรือเสียง และปวดกล้ามเนื้ออีกด้วย
ปวดหัวไมเกรน
ไมเกรนเป็นอาการปวดหัวตุบๆ ข้างเดียวอย่างรุนแรง หรือบางครั้งอาจปวดหัวทั้ง 2 ข้าง นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มองเห็นภาพไม่ชัด ไข้ขึ้น รู้สึกร้อนหรือหนาวอย่างมาก หรือมีอาการของภาวะพาเรสทีเชีย (Paresthesia) ซึ่งเป็นอาการที่รู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม รู้สึกคัน เสียว หรือแสบร้อน เป็นต้น
ปวดหัวแบบคลัสเตอร์
เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันและรุนแรง โดยที่ผู้ป่วยจะปวดหัวข้างเดียว อาจปวดไปถึงบริเวณเบ้าตา คอ ไหล่
โดยสามารถเป็นได้ทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน และจะดีขึ้นภายใน 4 - 12 สัปดาห์
นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ แทรกซ้อนเข้ามาอย่างเช่น ไม่สบายตัว คัดจมูก น้ำมูกไหล ตาแดง น้ำตาไหล เหงื่อออก หน้าแดง เป็นต้น
ปวดหัวเรื้อรัง
เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นติดต่อกันมากกว่า 2 อาทิตย์ อาจเกิดขึ้นจาก ความเครียด หรือ ปวดหัวไมเกรนแบบเรื้อรัง
แค่ปวดหัว..ต้องไปหาหมอหรือเปล่านะ..?
**หากมีอาการปวดหัวรุนแรง ปวดเป็นระยะเวลานาน ปวดหัวหลังจากการได้รับบาดเจ็บ หรือ มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ไข้ขึ้น มองเห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็น รู้สึกเจ็บเวลาขยับ หรือไอ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
เราย้ายมาฝั่งซ้ายกันบ้าง กับอาการ..
ปวดหัวข้างซ้าย
เช่นเดียวกันอาการปวดหัวข้างขวา อาการปวดหัวข้างซ้ายอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือค่อยๆ เป็นก็ได้
และสามารถลามไปที่อื่นได้เหมือนกัน เช่น บริเวณคอ หรือฟันนั่นเอง
อาการปวดหัวด้านซ้าย อาจเกิดจาก :
พฤติกรรมของเราในชีวิตประจำวัน อย่าง การอดอาหาร การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
อาการเจ็บป่วยบางอย่างของเรา ก็อาจทำให้เราปวดหัวด้านซ้ายได้ เช่น
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโรคภูมิแพ้
- ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
- โรคต้อหิน (Glaucoma)
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- เนื้องอกในสมอง (Brain Tumor)
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ (Head Injury)
การใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือปริมาณเยอะกว่าปกติ เช่น
- ยาแอสไพริน (Aspirin)
- ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)
- ยาแก้ปวดในกลุ่มทริปแทน (Triptans)
โดยประเภทของอาการปวดหัวด้านซ้ายมีความคล้ายคลึงกับอาการปวดด้านขวา ไม่ว่าจะเกิดจาก ความเครียด ไมเกรน ปวดหัวเรื้อรัง หรือ ปวดหัวแบบคลัสเตอร์
ไม่ว่าจะเกิดจากอะไร หากมีสัญญาณอันตรายอย่าง อาการปวดหัวรุนแรง ปวดเป็นระยะเวลานาน ปวดหัวหลังจากการได้รับบาดเจ็บ ตื่นกลางดึกเพราะปวดหัว หรือ มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ไข้ขึ้น เห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็น รู้สึกเจ็บเวลาขยับ หรือไอ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ปวดหัวด้านซ้าย หรือ ขวา ป้องกันและรับมือยังไงดีล่ะ?
- พักผ่อนเยอะๆ โดยเฉพาะหากป่วยเป็นไข้หวัด
- รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
- ออกกำลังกายอยู่เสมอ
- ประคบอุ่นหรือประคบเย็นบริเวณศีรษะหรือลำคอ
- กินยาเพื่อรักษา เช่น พาราเซตามอล โดยใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ทำตามคำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์อย่างเคร่งครัด
ปวดหัวข้างหน้า ตรงหน้าผาก โหนกแก้ม รอบตา
อาการปวดหัวแบบหน่วงๆ บริเวณหัว หน้าผาก ตา รวมถึงมีน้ำมูกเหนียวข้น อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึง “ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)”
ถึงแม้เราจะได้ยินบ่อยๆ จนคิดว่าก็แค่อาการปวดหัวทั่วไป เดี๋ยวก็หาย แต่จริงๆ แล้วไซนัสอันตรายมากกว่าที่คิด
โดยหากกระจายไปบริเวณคอ อาจเสี่ยงต่อ "ภาวะหอบหืด (Asthma)"
หากกระจายไปบริเวณตา อาทำให้การมองเห็นลดน้อยลง หรือ สูญเสียการมองเห็นได้ และหากกระจายไปถึงสมอง อาจทำให้รักษายากมากขึ้น จนไปถึง การเสียชีวิต เลยก็ได้
ได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่จริงๆแล้ว “ไซนัส” คืออะไรกันแน่?
ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศที่อยู่ในกะโหลกศีรษะบนใบหน้ารอบๆ จมูกมีรูเปิดติดต่อกับช่องจมูก ซึ่งในไซนัสก็จะมีเยื่อบุ ที่ต่อเป็นผืนเดียวกันกับเยื่อบุภายในช่องจมูก ช่วยปรับอากาศที่เราหายใจเข้าไป ถ่ายเทความร้อนและความชื้นให้เหมาะสมกับร่างกาย
แล้วมันเกิดจากอะไรล่ะ…?
การติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรียทำให้เกิดภาวะไซนัสอักเสบได้ โดยอาจเกิดจาก ไข้หวัด หรือภูมิแพ้ ทำให้เยื่อบุในช่องจมูกบวม ส่งผลให้โพรงไซนัสตัน น้ำมูกไม่สามารถออกมาได้ จึงทำให้หมักหมม และเกิดอาการติดเชื้อนั่นเอง
การติดเชื้อจากรากฟัน ก็สามารถทำให้เรามีอาการไซนัสอักเสบได้เช่นกัน เนื่องจากกระดูกที่คั่นระหว่างรากฟันกับไซนัสบางมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
เราจะรู้ได้ไงว่าเราเป็น ไซนัส..?
อาการของไซนัสก็ค่อนข้างจะทั่วไป หลายๆ คนจึงอาจละเลยได้ เพียงเพราะคิดว่าเป็นอาการปวดหัวจากความเครียดเล็กน้อย หรือ พักผ่อนน้อยเฉยๆ
นอกจากอาการปวดหน่วงๆ บริเวณหน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม หรือรอบๆ ดวงตา แล้ว อาจมีน้ำมูกที่ข้น เป็นสีเขียว หรือเหลือง และหากสูดแรงๆ รู้สึกว่าน้ำมูกไหลลงคอ รวมถึงอาการอื่นๆอย่าง เจ็บคอ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหู หูอื้อ ลมหายใจมีกลิ่นคาว แน่นจมูก
หากใครมีอาการเหล่านี้ ให้สงสัยไว้ก่อนเลย ว่า เราเป็น “ไซนัสหรือเปล่า?” หรือหากไม่มั่นใจ ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ ให้ลองมากด Agnos Application เพื่อวิเคราะห์อาการเบื้องต้นดูก่อนได้ !
การรักษาและการป้องกันที่เราสามารถทำได้ หากเราเป็นไซนัส
สมัยนี้มีวิธีการรักษาไซนัสมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้ยา การผ่าตัด หรือการใช้น้ำเกลือในการล้างโพรงจมูก
แต่สิ่งที่ดีที่สุด ก็คงเป็น การป้องกัน และลดความเสี่ยงของการเกิดไซนัส โดย
- หลีกเลี่ยงโรคไข้หวัด หรือ โรคไข้หวัดใหญ่ โดยการฉีดวัคซีน หรือไม่เข้าใกล้ผู้ติดเชื้อ
- งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี้ยงพื้นที่ๆมีมลพิษเยอะๆ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ให้จมูกแห้ง
- กินอาหารที่มีประโยชน์
ปวดหัวข้างหลัง บริเวณท้ายทอย
เป็นอีกอาการปวดหัว ที่หลายๆคนอาจจะเคยเป็น โดยเฉพาะเวลาที่เราก้มหัวลง จะรู้สึกปวดตุ๊บๆ บริเวณท้ายทอย และสามารถลามไปทั้งหัวทั้งสองข้างได้
ปวดท้ายทอยแบบนี้..เราเสี่ยงเป็นอะไรกันแน่ ?
อาการปวดท้ายทอย อาจเกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณคอเกร็งแบบผิดท่าเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็น การนั่งทำงาน นั่งเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานาน นอนตกหมอน ก็อาจทำให้ ปวดหัวบริเวณท้ายทอย และคอได้เช่นกัน
อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญ อาจเกิดจาก เส้นประสาทอักเสบ มักปวดจี๊ดๆ ตามแนวเส้นประสาท เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็อาจมีภาวะเส้นประสาทเสื่อม ทำให้อักเสบได้ง่าย
รักษายังไงได้บ้าง..?
นอกจากการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการหรือป้องกันอาการแล้ว หากต้องการจะรักษาเองที่บ้าน สามารถ ประคบร้อนเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการได้
การทำกายภาพบำบัด โดยผู้เชี่ยวชาญและนักบำบัด เนื่องจากอาการปวดของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน
เราจะป้องกันอาการปวดหัวท้ายทอยได้ยังไงบ้าง..?
ฟังดูอาจจะทำง่าย แต่คงจะเป็นหนึ่งในข้อที่ยากที่สุดก็คือ
- การนั่ง หรือนอนในท่าที่เหมาะสม
- ไม่เกร็งคออยู่ท่าเดิมๆ นานเกินไป
- ยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกาย
- กินอาหารที่มีประโยชน์
หากใครมีอาการปวดท้ายทอยบ่อยๆ กินยาก็ยังไม่หาย หรือมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น เช่น มีไข้สูง ควรรีบไปตรวจสุขภาพ เพื่อหาต้นตอของอาการโดยด่วน
อาการปวดหัวที่กวนใจเราเนี่ย มันมีที่มาที่ไปเสมอ หากใครยังไม่มั่นใจว่า อาการที่เราเป็น ต้องไปหาหมอหรือเปล่า ? เพื่อเป็นการประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย สามารถดาวน์โหลด Agnos Application เพื่อทำการตรวจเช็กอาการไม่พึงประสงค์เบื้องต้นดูก่อนได้เลย !
อ้างอิง :
https://www.pobpad.com/ปวดหัวข้างขวา-สาเหตุและ#:~:text=สาเหตุของอาการปวดหัว,การพักผ่อนไม่เพียงพอ%20เป็นต้น
https://www.pobpad.com/ปวดหัวข้างซ้าย-สาเหตุแล#:~:text=อาการปวดหัวข้างซ้ายอาจมีสาเหตุมาจาก,คับแน่นจนเกินไป%20เป็นต้น
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/ไซนัสอักเสบ
https://www.pobpad.com/ถาม/หัวข้อ/ปวดท้ายทอยหัว
https://doobody.com/ดูบทความ-59020-ปวดท้ายทอย-มึนหัว-หนักหัว-เริ่มจากจุดเล็กๆที่ต้นคอ.html
https://health.kapook.com/view232154.html