โรค เก๊าต์กำเริบ (Acute gouty attack) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
ภาวะเกาต์กำเริบ (Acute gouty attack) เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ (Hyperuricemia) ทำให้เกิดการสะสมเป็นผลึกในน้ำไขข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ เรียกว่าผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต (Monosodium urate) ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ปวดบวมอย่างรุนแรงของข้อขึ้นมาได้ เก๊าต์เป็นโรคข้ออักเสบที่พบบ่อย มีอุบัติการณ์การเกิด 4.3 คนต่อประชากรไทย 100,000 คน โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ปัจจัยที่กระตุ้นให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงจนตกตะกอนเป็นผลึก ได้แก่
- การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การเจ็บป่วยที่มีผลต่อการสร้างเซลล์เพิ่มขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคสะเก็ดเงิน
- การเจ็บป่วยที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าปกติ ร่วมกับลดความสามารถในการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายด้วย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต
- การใช้ยาบางชนิด ที่ส่งผลให้ไตขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้น้อยลง
อาการของโรค
- ปวด บวมแดง ร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลันทันทีทันใด โดยข้อที่พบเกิดการอักเสบได้บ่อยที่สุดคือบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ
- อาการปวดอาจเป็นรุนแรงมากจนทำให้ขยับข้อไม่ได้ เดินไม่ได้หรือเดินลำบาก
- มักมีอาการทีละ 1 ข้อเท่านั้น มีส่วนน้อยประมาณ 10% ที่พบการอักเสบพร้อมกันมากกว่า1ข้อ
- อาจมีไข้ร่วมด้วยได้
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค
โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะเก๊าต์กำเริบได้จากประวัติและการตรวจร่างกาย แต่ในบางครั้งที่อาการไม่ชัดเจน แพทย์อาจมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น
- เจาะน้ำในข้อที่มีการอักเสบออกมาตรวจ ว่ามีผลึกของกรดยูริกหรือไม่ เป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยาลดปวดหรือลดการอักเสบก่อนทำการเจาะข้อ
- เจาะเลือดดูระดับกรดยูริกในเลือด เป็นการตรวจในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่พร้อมรับการเจาะน้ำในข้อ แต่การแปลผลจะทำได้ยาก เนื่องจากระดับกรดยูริกสูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสาเหตุของการเกิดข้ออักเสบเสมอไป จึงต้องอาศัยการแปลผลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- เจาะเลือดดูปริมาณเม็ดเลือดขาว เพื่อช่วยบ่งบอกการติดเชื้อของข้อ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด
แนวทางการดูแลรักษา
ในระยะที่มีเกาต์กำเริบเฉียบพลัน การรักษาหลักจะเป็นการใช้ยาทานหรือยาฉีด เพื่อแก้ปวด และลดการอักเสบภายในข้อ ยาที่ใช้เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
- ยาโคชิซิน (Colchicine) ออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบจากผลึกของกรดยูริก
- ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น นาพรอกเซน (Naproxen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบทำให้อาการปวดบวมข้อทุเลาลง
- ยาสเตียรอยด์ (Steroids) เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบเช่นกัน ในกรณีที่คนไข้มีข้ออักเสบกำเริบเป็นๆ หายๆ บ่อยกว่า 2 ครั้งต่อปี มีข้ออักเสบเรื้อรัง หรือมีปุ่มแข็งงอกจากการสะสมผลึกกรดยูริคเกิดขึ้นที่ส่วนต่างๆของร่างกาย แพทย์จะพาจารณืให้ทานยาลดระดับกรดยูริคร่วมด้วย เพื่อละลายผลึกยูริคและป้องกันไม่ให้ตกผลึกเพิ่มขึ้น ยาลดกรดยูริคมีด้วยกัน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มยายับยั้งการสร้างกรดยูริก เช่น ยาอัลโลพิวรีนอล (Allopurinol) เฟบบูโซสตัท (Febuxostat) และกลุ่มยาเร่งการขับกรดยูริกทางไต เช่น ยาโพรเบเนซิด (Probenecid) เบนซ์โบรมาโรน (Benzbromarone) นอกจากการใช้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาให้ดียิ่งขึ้น คือ
- ลดการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ยอดผักและธัญพืชบางชนิด เช่น ชะอม กระถิน ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์ เนื่องจากในเบียร์มีพิวรีนปริมาณมากสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกได้ นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงหรือโรคอ้วน ก็ควรควบคุมโรคประจำตัวเหล่านั้นให้ดี ร่วมกับออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ก็จะช่วยให้ควบคุมระดับกรดยูริคในเลือดได้ดีขึ้นเช่นกัน
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
อายุรแพทย์โรคข้อ, กุมารแพทย์ โรคข้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
โรคเก๊าต์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมา เช่น โรคไตเสื่อม นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวายได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.thonburihospital.com/Gout.html https://www.cdc.gov/arthritis/basics/gout.html