โรค อัณฑะอักเสบ (Epididymo-orchitis) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
โรคอัณฑะอักเสบมีสาเหตุส่วนใหญ่จากการติดเชื้อ โดยเชื้อที่พบบ่อยแบ่งเป็น
- เชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่ผ่านมาทางท่อปัสสาวะ เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางโครงสร้างของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ท่อปัสสาวะตีบ หรือการคาสายสวนท่อปัสสาวะ
- เชื้อแบคทีเรียก่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย
อาการของโรค
- ปวดอัณฑะแบบค่อยๆ ปวดมากขึ้น
- อัณฑะบวมข้างเดียว โดยมักจะมีอาการก่อนมาโรงพยาบาลหลายวัน
- มีอาการปวดเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย
- มีก้อนบวมโต กดเจ็บที่ขาหนีบ ซึ่งเกิดจากต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบ
- ไข้หนาวสั่นมักจะพบในเด็ก ส่วนผู้ใหญ่พบได้ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วย
- บางรายจะมีอาการปัสสาวะขุ่น มีมูกหรือหนองออกจากท่อปัสสาวะนำมาก่อน
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค
แพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติอาการ ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ และตรวจร่างกาย โดยจะตรวจถุงอัณฑะ ลูกอัณฑะ ท้องน้อย และ ขาหนีบ ถ้าหากอาการหรือตรวจร่างกายได้ผลไม่ชัดเจนแพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติม คือ การตรวจปัสสาวะหรือการตรวจเลือด เพื่อดูว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นเกิดจากการติดเชื้อของอัณฑะ หรือเป็นภาวะอัณฑะบิดขั้ว ซึ่งมีอาการปวดอัณฑะได้เหมือนกัน แต่เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาโดยการผ่าตัด
แนวทางการดูแลรักษา
- รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ โดยทั่วไปมักให้เป็นยาฉีด Ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว ร่วมกับยารับประทาน เช่น Doxycycline Ofloxacin ต่อเนื่องไปอีก 10 วัน
- รับประทานยาแก้ปวดหากมีอาการปวดหรือมีไข้
- ช่วงที่มีการอักเสบให้งดการออกกำลังกาย
- งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายเป็นปกติ
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ, กุมารแพทย์ โรคติดเชื้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
หาก 3 วันหลังจากรับการรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรกลับมาพบแพทย์เพื่อประเมินซ้ำ เพราะอาจเกิดจากการติดเชื้อดื้อยา หรือการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://meded.psu.ac.th/binlaApp/class05/388_531/Urologic/index.html https://www.bmj.com/content/342/bmj.d1543