โรค ลำไส้อักเสบ (Non-bacterial gastroenteritis) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
ลำไส้อักเสบ ต้องไปหาหมอเลยไหม?
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
ลำไส้อักเสบ ที่การอักเสบไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไว้รัส การติดเชื้อสามารถทำให้มีอาการท้องเสีย และ อาเจียนได้ ลำไส้อักเสบสามารถเกิดได้ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก สาเหตุของการติดเชื้อมาจาการสัมผัสที่ติดเชื้อมาก่อนหรือพื้นผิวสิ่งของต่างๆที่มีเชื้อโรคอยู่ แล้วไม่ได้ล้างมือจนเป็นสาเหตุทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ หรือการติดเชื้ออีกทางเกิดจากการทานอาหารที่มีเชื้อโรคอยู่โดยตรง
อาการของโรค
การติดเชื้อในลำไส้ทำให้มีอาการท้องเสียและอาเจียน หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง อาการมักเกิดทันทีทันใด และสามารถอาการรุนแรงได้ อาจจะมีอาการอื่นๆร่วมด้วยดังต่อไปนี้
- มีไข้
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
- ปวดท้องบิดๆ
- เบื่ออาหาร
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค
โดยทั่วไปโรคลำไส้อักเสบ ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยที่ไม่ต้องตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ แต่ในบางครั้งถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์อาจจะพิจารณาตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุที่อันตราย หรือตรวจเพื่อดูว่ามีค่าเกลือแร่ผิดปกติหรือไม่ จากการที่เสียน้ำในร่างกายหรือเสียเกลือแร่ไปพร้อมกับการอาเจียนหรือถ่ายท้อง
แนวทางการดูแลรักษา
การรักษาส่วนใหญ่ คือ การรักษาประคับประคองตามอาการ ได้แก่การดื่มน้ำทดแทนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารทดแทนพลังงานที่เสียไปและไม่ให้ขาดพลังงาน โดยอาหารที่แนะนำคือ อาหารอ่อน, อาหารที่ย่อยง่าย, หรืออาหารที่มีไขมันน้อย
- ยารักษาที่สามารถหาได้เองตามร้านขายยา อันได้แก่เกลือแร่ชนิดชงเอง, ยาแก้คลื่นไส้/อาเจียน, ยาแก้ปวดท้อง ซึ่งสามารถหาได้และเข้าถึงง่าย
- ควรรับประทานอาหาร หรือ ดื่มน้ำ ถึงแม้ว่าจะยังมีอาการถ่ายท้อง หรือ อาเจียนก็ตาม ในทางกลับกัน การที่ไม่รับประทานอาจจะทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น เนื่องจากร่างกายขาดน้ำและสารอาหารที่จำเป็น จึงแนะนำรับประทานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีวิธีแก้ไขโดยการรับประทานบ่อยๆแต่ทีละน้อยๆแทน
- ไม่แนะนำให้ทานยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ เพราะการกินยาชนิดนั้นต้องกินให้ครบตามกำหนด ถึงแม้ว่าอาการป่วยจะดีขึ้นแล้วก็ยังคงต้องกินต่อเนื่อง หากกินยาไม่ครบอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล และทำให้เกิดการดื้อยาได้ ทำให้การรักษาครั้งต่อไปต้องใช้ยาที่แพง หรืออาจทำให้รักษาได้ยากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหากมีอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษสามารถซื้อยาทานเองได้ โดยอาการของโรคสามารถหายได้เอง ซึ่งผู้ป่วยสามารถเพิ่มน้ำให้กับร่างกายด้วยการดื่มเกลือแร่ แต่หากมีอาหารถ่ายเป็นมูกเหลวหรือมีเลือดปนอาจจะมีความจำเป็นใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของเภสัชกรหรือแพทย์
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหาร, กุมารแพทย์ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที และไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้
- มีสัญญาณของภาวะขาดน้ำ เช่น
- ปากแห้ง กระหายน้ำอย่างมาก ปัสสาวะน้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย ปัสสาวะมีสีเข้ม หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ และหน้ามืด เป็นต้น
- เด็กและทารกที่มีภาวะขาดน้ำ นอกจากอาการผิดปกติข้างต้นแล้ว อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาโบ๋ ขม่อมยุบ มีน้ำตาไหลออกมาน้อยหรือไม่มีน้ำตาขณะร้องไห้ เป็นต้น
- ท้องเสียติดต่อกันโดยอาการไม่ดีขึ้นเลย หรือเป็นเวลานานหลายวัน ร่วมกับทานไม่ได้เลย
- อาเจียนถี่หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่องนานกว่า 12 ชั่วโมง
- มีเลือดปนในอาเจียนหรืออุจจาระ
- ตามัวหรือมองเห็นไม่ชัด
- ปวดท้องอย่างรุนแรงและมากขึ้นเรื่่อยๆ โดยอาการปวดไม่ลดลงหลังจากอุจจาระไปแล้ว
- ท้องเสียร่วมกับมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ บุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากพบว่ามีอาการบ่งชี้ของภาวะลำไส้อักเสบ ได้แก่ ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ อย่างผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือติดเชื้อเอชไอวี รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคลิ้นหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต เป็นต้น