โรค ไข้เลือดออก (Dengue fever) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
โรคมาพร้อมกับหน้าฝน โรคไข้เลือดออก
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
โรคไข้เลือดออกเกิดจาก การติดเชื้อไวรัสเดงกี่ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อจากผู้ป่วยแล้วไปกัดผู้ใด ก็จะถ่ายทอดเชื้อโรคนี้ให้กับผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายคน และ ผ่านระยะฟักตัวนานประมาณ 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน - นานที่สุด 15 วัน) ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้
อาการของโรค
- มีไข้สูงเฉียบพลัน ติดต่อกันประมาณ 3-8 วัน
- หน้าแดง
- ปวดศีรษะ บางคนจะบ่น ปวดรอบกระบอกตา
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา ปวดกระดูก
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาจมีผื่นแดงตามตัว
- อาการเลือดออก ที่พบบ่อยที่สุดคือที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นเลือดเปราะแตกง่าย ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
เนื่องจากอาการของโรคไข้เลือดออกในระยะแรกๆ คล้ายกับโรคติดเชื้อหลายโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และไข้จากสาเหตุอื่น ดังนั้น นอกเหนือจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว แพทย์อาจเจาะเลือดตรวจเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก ดังนี้
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด
- ตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไข้เลือดออก (Dengue IgM)
- ตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อไข้เลือดออก (NS1-Ag) ในช่วง 1-2 วันแรกของการป่วย แนะนำให้ผู้ป่วยดูแลรักษาแบบประคับประคองไปก่อน เพราะ อาจจะตรวจไม่พบเชื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงใดจากการเจาะเลือดเลย จึงไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยในวันที่ 3 ของการป่วยเป็นต้นไป และ เมื่อวินิจฉัยไข้เลือดออก แพทย์อาจนัดมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเกร็ดเลือด และ ความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะๆ เพราะเมื่อปริมาณเกร็ดเลือดเริ่มลดลงและความเข้มข้นเลือดเริ่มสูงขึ้นจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าน้ำเลือดรั่วออกจากเส้นเลือด และ อาจเกิดภาวะช็อกได้ จึงจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้สารน้ำชดเชย
แนวทางการดูแลรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการเพื่อประคับประคองให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งในรายที่อาการไม่รุนแรง โรคไข้เลือดออกอาจหายได้เองภายใน 2-7 วัน โดยการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก มีหลักปฏิบัติดังนี้
- ให้ยาลดไข้ โดยยาลดไข้ที่ควรใช้ คือ พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน(Aspirin), ไอบูโพรเฟน(Ibuprofen), หรือยาแก้อักเสบอื่นๆในกลุ่ม NSAIDs เพราะจะทำให้เกล็ดเลือดทำงานได้น้อยลง และระคายกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น และอาจจะทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นได้ หมายเหตุ
- การใช้ายาลดไข้มากเกินไปจะมีภาวะเป็นพิษต่อตับได้ ควรจะใช้การเช็ดตัวลดไข้ หรืออาบน้ำลดไข้ร่วมด้วย และยาลดไข้ไม่ได้ทำให้การติดเชื้อไข้เลือดออกหายเร็วขึ้น
- ในระยะไข้สูง ผู้ป่วยเด็กอาจมีการชักได้ถ้าไข้สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีประวัติเคยชัก หรือในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน จำเป็นต้องให้ยาลดไข้ ร่วมกับการเช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ เพื่อป้องกันการชักจากไข้
- ให้น้ำชดเชย กินน้ำมากๆ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำ ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้หรือสารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่(ORS) ในรายที่อาเจียนควรให้ดื่มครั้งละน้อยๆ และดื่มบ่อยๆ
- กรณีที่มีอาการอาเจียน สามารถทานยาแก้อาเจียนได้
- ติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ, กุมารแพทย์ โรคติดเชื้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
ภาวะฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ต้องเฝ้าระวังและสังเกต คือ ภาวะช็อก หรือการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆกับการที่ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดอาการช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค ไปจนถึงวันที่ 8 ของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการแย่ลง ร่วมกับอาการดังต่อไปนี้
- กระสับกระส่าย กระหายน้ำมาก
- มือเท้าเย็น ตัวเย็น แต่มีเหงื่อออก
- ปัสสาวะออกน้อยลง
- ชีพจรเบาเร็ว หรือความดันโลหิตต่ำลง
- ซึมลง
- ปลายมือปลายเท้ามีสีคล้ำหรือซีดลง
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะปนเลือด เลือดออกทางช่องคลอด
- อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดสีแดงหรือดำ ซึ่งเกิดจากการที่มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ดังนั้น หากสังเกตว่าไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ร่วมกับอาการใดอาการหนึ่งข้างต้น ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด