โรค ไข้รากสาดใหญ่ (Scrub typhus) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค

โรคไข้รากสาดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในตัวไรอ่อน (Chigger mite) เมื่อเราโดนตัวไรอ่อนกัด อาจเห็นเป็นรอบแผลเล็กๆ ไม่ค่อยเจ็บ หลังจากนั้น 1-2 สัปดาห์ก็จะเริ่มมีอาการป่วยแสดงขึ้น โดยตัวไรอ่อนนี้จะชอบอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ และ พุ่มไม้เตี้ยๆ และ คนส่วนมากก็มักจะโดนกัดโดยไม่รู้ตัว

อาการของโรค

อาการของไข้รากสาดใหญ่ มักจะเกิดขึ้นภายใน 10 วัน หลังจากที่โดนไรอ่อนกัด โดยจะมีอาการ คือ

  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา
  • ต่อมน้ำเหลืองโตและกดเจ็บ
  • ปวดกล้ามเนื้อ และปวดเมื่อยตามตัว
  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • อาจผื่นแดงๆเริ่มขึ้นบริเวณลำตัว
  • มีผื่นขนาดเล็กค่อย ๆ นูนหรือใหญ่ขึ้น และต่อมาอาจทำให้เป็นแผลที่คล้ายถูกบุหรี่จี้ (Eschar) ซึ่งเกิดจากชั้นเนื้อตาย โดยจะเกิดบริเวณที่ถูกไรอ่อนกัด มักไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและสังเกตเห็นได้ยาก

แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค

การตรวจยืนยันโรค ปัจจุบันสามารถตรวจได้จากเลือดผู้ป่วยโดยเทคนิคต่างๆ ทั้งการตรวจ IFA, Complement-Fixation หรือ PCR ซึ่งส่วนมากผลตรวจจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์จึงจะทราบผล ดังนั้นแพทย์จึงมักเริ่มต้นการรักษาไปก่อนเลย หากสงสัยโรคไข้รากสาดใหญ่ โดยแพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก เนื่องจากอาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับหลายๆโรค การมีประวัติที่สำคัญที่สุดคือ ประวัติการเดินทางไปป่า การท่องเที่ยวกางเต๊นท์ หรือการทำกิจกรรมใดใดที่เข้าไปอยู่ในพงหญ้าหรือพุ่มไม้ ภายใน 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มมีไข้ จะช่วยในการวินิจฉัยอย่างมาก การให้ประวัติที่ถูกต้องและครบถ้วนจึงเป็นจุดสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้การวินิจฉัยถูกต้อง และได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว

แนวทางการดูแลรักษา

โรคไข้รากสาดใหญ่ รักษาได้ด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อ โดยยาที่ใช้รักษาในปัจจุบัน คือ

  • ยา Doxycycline เป็นยามาตรฐานตัวแรกในการรักษา
  • ยา Azithromycin ใช้ในผู้ป่วยที่สงสัยเชื้อดื้อยา ผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ ยาแก้ปวด อย่างไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ พาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีไข้ และ ปวดกล้ามเนื้อได้

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ

อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ, กุมารแพทย์ โรคติดเชื้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี

ข้อควรระวัง

โรคนี้ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เชื้อเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรง หรือ ภูมิคุ้มกันไม่ดี ก็สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ โดยอาจจะมีอาการตั้งแต่

  • ไข้สูงลอย ไม่ดีขึ้นด้วยการทานยาลดไข้และเช็ดตัว
  • มีเลือดออกผิดปกติ หนาวสั่น
  • ความดันโลหิตตกลง
  • ซึม
  • ไวต่อแสง และ เพ้อสับสนไป จนถึงโคม่าได้ ดังนั้นหากสังเกตว่า เริ่มมีอาการดังข้างต้น ควรรีบพามาโรงพยาบาลโดยเร็ว

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://sriphat.med.cmu.ac.th/th/knowledge-421

บทความที่เกี่ยวข้อง

article-cover
  • อื่นๆ
  • ไข้เลือดออก (Dengue fever)

ไข้เลือดออก (Dengue fever)

โรคมาพร้อมกับหน้าฝน โรคไข้เลือดออก ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคไข้เลือดออกเกิดจาก การติดเชื้อไวรัสเดงกี่ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อจากผู้ป่วยแล้วไปกัดผู้ใด ก็จะถ่ายทอดเชื้อโรคนี้ให้กับผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายคน และ ผ่านระยะฟักตัวนานประมาณ 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน - นานที่สุด 15 วัน) ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้ อาการของโรค * มีไข้สูงเฉียบพลัน ติดต่อกันประมาณ 3-8 วัน * หน้าแดง * ปวดศีรษะ บางคนจะบ่น ปวดรอบกระบอกตา * ปวดเมื่อยกล้า

article-cover
  • อื่นๆ
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS)

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี โดย HIV ย่อมาจาก human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัส ในขณะที่ AIDS คือ acquired immune deficiency syndrome คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อเอชไอวีทำลาย จนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งเป็นอาการระยะท้ายๆของการติดเชื้อ แปลว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีหากรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่กลายเป็นเอดส

article-cover
  • อื่นๆ
  • ไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya)

ไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya)

ไข้ชิคุนกุนยา vs ไข้เลือดออก ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคชิคุนกุนยา เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ “ชิคุนกุนยาไวรัส” ติดต่อมาสู่คน โดยการถูกยุงลายกัด มีระยะฟักตัว ของโรคหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2–5 วัน มีอาการคล้ายกับไข้เลือดออก ต่างกันที่ ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงขั้นช็อก อาการของโรค * ไข้สูงเฉียบพลัน โดยมักมีไข้ประมาณ 2-4 วัน หลังจากนั้น ไข้จะลงอย่างรวดเร็ว * ปวดตามข้อ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้

article-cover
  • อื่นๆ
  • โรคฉี่หนู (Leptospirosis (uncomplicated))

โรคฉี่หนู (Leptospirosis (uncomplicated))

โรคฉี่หนู อันตรายที่มากับฝน ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคฉี่หนู หรือ Leptospirosis เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจากสัตว์สู่คน เชื้อก่อโรคจะปนออกมากับฉี่ของสัตว์ต่างๆ โดยหนูจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญที่สุด จึงเรียกว่า โรคฉี่หนู แต่อย่างไรก็ตามสัตว์อื่นๆ อย่างเช่น สุนัข วัว ควาย ก็สามารถมีเชื้อ และ แพร่เชื้อมาสู่คนได้เช่นเดียวกัน (เชื้อนี้ไม่ทำให้สัตว์มีอาการป่วย) โดยเชื้อจะถูกขับออกมากับฉี่ของสัตว์เหล่านี้มาอยู่ในดินที่ชื้นแฉะ น้ำท่วมขัง หรือตามสวนไร่นาที่มีน้ำขัง และเชื้อก็จะมีชีวิตอยู่ในสิ่ง

article-cover
  • อื่นๆ
  • น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค น้ำตาลในเลือดต่ำ คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 mg/dl มักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลีย ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลหรือยาฉีดอินซูลิน (Insulin) อาการของโรค ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกันไป อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ * เหงื่อแตกตัวเย็น * อ่อนเพลีย ไม่มีแรง * เวียนศีรษะ * ตาพร่ามัว * พูดจาสับสน * หากมีอาการรุนแรง อาจจะชัก หรือหมดสติได้ แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค อาศัยประวัติที่เข้าได้กั