โรค หูชั้นกลางอักเสบ (Acute otitis media) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค

โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media) เป็นโรคที่มีการอักเสบของหูชั้นกลาง สาเหตุของหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน สามารถเป็นได้จากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก็ได้ มักจะผ่านมาจากจมูกและโพรงหลังจมูก เข้าสู่หูชั้นกลางผ่านทางท่อยูสเตเชียน ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมระหว่างโพรงหลังจมูก (nasopharynx) และหูชั้นกลาง การสั่งน้ำมูกแรงๆ, การดำน้ำ, การว่ายน้ำขณะที่มีการอักเสบในโพรงจมูก หรือโพรงหลังจมูก จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อในหูชั้นกลางง่ายขึ้น

อาการของโรค

อาการที่เกิดขึ้นโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันภายในเวลาไม่กี่วัน อาการที่เกิดขึ้นในเด็ก และผู้ใหญ่มีความแตกต่างกันดังนี้ เด็ก - เป็นวัยที่ยังไม่สามารถบ่งบอกอาการได้อย่างชัดเจน แต่ผู้ปกครองอาจใช้วิธีสังเกตสัญญาณหรืออาการจากเด็กดังต่อไปนี้

  • ปวดหู โดยเฉพาะเวลาที่นอนหงาย
  • ดึงหูตัวเองบ่อย ๆ
  • นอนยาก
  • ร้องไห้ อารมณ์หงุดหงิดมากผิดปกติ หรือซึมลง โดยเฉพาะเวลาที่มีไข้สูง
  • มีปัญหาในการได้ยิน หรือตอบสนองต่อเสียงต่าง ๆ ช้า
  • สูญเสียการทรงตัว
  • มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส
  • มีของเหลวไหลออกมาจากหู
  • ปวดศีรษะ
  • ความอยากอาหารลดลง ผู้ใหญ่ - อาการจากหูชั้นกลางอักเสบที่พบได้ ได้แก่
  • ปวดหู
  • มีของเหลวไหลออกมาจากหู
  • มีปัญหาในเรื่องการได้ยิน
  • วิงเวียนศีรษะ ในกรณีที่การอักเสบของหูชั้นกลางก่อให้เกิดของเหลวขึ้นภายหลังแก้วหู ผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงป็อบ เสียงวิ้ง ๆ หรือรู้สึกแน่นภายในหู หากเป็นในเด็กก็สามารถสังเกตได้จากท่าทางของเด็กที่มักจะใช้มือถูที่หูเพื่อบรรเทาอาการ ทั้งนี้หากเกิดอาการแล้วควรรีบรักษา

แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคสามารถทำได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย แต่แพทย์อาจจะพิจารณาตรวจเพิ่มด้วยวิธีต่าง ๆ โดยอาจจะใช้ที่ตรวจหูอย่างกล้องส่องหู (Otoscope) เป็นหลักเพื่อสำรวจดูความผิดปกติภายในช่องหู เช่น แก้วหูทะลุ มีของเหลวคั่งในหู หรือมีเนื้อเยื่ออักเสบภายในช่องหูหรือไม่ แต่บางกรณีที่อาการรุนแรง หรือตรวจลำบาก แพทย์อาจสั่งตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อระบุอาการให้ชัดเจนมากขึ้น วิธีที่แพทย์มักใช้ได้แก่

  • การตรวจการทำงานของหูชั้นกลาง (Tympanometry) เป็นการตรวจเพื่อดูการทำงานของหูชั้นกลางอย่างแก้วหูว่ามีการทำงานที่เป็นปกติหรือไม่
  • การตรวจการกระตุกอัตโนมัติของกล้ามเนื้อหูชั้นกลาง (Acoustic Reflectometry) การตรวจนี้จะช่วยให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยมีของเหลวคั่งภายในหูหรือไม่ โดยการปล่อยคลื่นเสียงไปที่แก้วหูเพื่อดูการสั่นสะเทือนของแก้วหู

แนวทางการดูแลรักษา

รักษาทางยา

  • รับประทานยาต้านจุลชีพ (Antibiotic) เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ ควรรับประทานเป็นระยะเวลา อย่างน้อย 10 – 14 วัน
  • รับประทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) ยาลดบวม ยาหดหลอดเลือด (Oral Decongestant) และพ่นจมูกด้วยยาหดหลอดเลือด (Topical Decongestant) เพื่อให้เยื่อบุบริเวณรูเปิดของท่อยูสเตเชียนยุบบวม ทำให้ท่อเปิดได้กว้างขึ้น สารจากการอักเสบ หรือหนองที่อยู่ในหูชั้นกลาง สามารถระบายออกจากท่อยูสเตเชียนนี้ได้สะดวกขึ้น
  • รับประทานยาแก้ปวด หรือลดไข้เท่าที่จำเป็น รักษาโดยการผ่าตัด
  • การเจาะเยื่อแก้วหู (Myringotomy) เพื่อระบายหนองในหูชั้นกลางออก ช่วยลดอาการปวดหูลงได้มาก มักทำในรายที่ให้ยาเต็มที่แล้ว และอาการผู้ป่วยไม่ดีขึ้น
  • การผ่าตัดโพรงกระดูกมาสตอยด์ (Mastoidectomy) มักทำในกรณีที่มีการอักเสบของโพรงกระดูกมาสตอยด์ มีหนองขังอยู่ภายในโพรงกระดูกมาสตอยด์ และไม่มีทางออก

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ

หู คอ จมูก, กุมารแพทย์ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี

ข้อควรระวัง

ผู้ป่วยโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์โดยด่วน

  • มีอาการติดต่อกันมากกว่า 2-3 วัน
  • มีอาการปวดหูอย่างรุนแรง
  • อาการเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือน
  • เด็กเล็กหรือเด็กทารกไม่สามารถนอนหลับได้ หรือมีอาการหงุดหงิดหลังจากเป็นไข้หวัด หรือการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน
  • มีของเหลว หนอง หรือเลือดไหลออกมาจากหู ส่วนในผู้ใหญ่นั้น หากมีอาการปวดหูอย่างรุนแรง หรือมีของเหลวไหลออกมาจากหูควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อความปลอดภัย

ข้อมูลเพิ่มเติม

http://www.rcot.org/2016/People/Detail/160 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK470332/

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด