โรค สงสัยภาวะตั้งครรภ์ (Pregnancy) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค

การตั้งครรภ์ (Pregnancy) คือ ภาวะที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิ แล้วได้ตัวอ่อนเกิดขึ้นมา ในการตั้งครรภ์ปกติ ตัวอ่อนจะไปฝังอยู่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก และตัวอ่อนจะแบ่งตัวและพัฒนาเป็นอวัยวะต่าง ๆ จนเจริญเติบโตเป็นทารก ซึ่งผู้หญิงโดยทั่วไปที่มีประจำเดือนปกติและมาสม่ำเสมอทุก ๆ 28 - 30 วัน จะตั้งครรภ์ประมาณ 40 สัปดาห์ หรือประมาณ 280 วัน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุด

อาการของโรค

  • ประจำเดือนขาด
  • มีอาการแพ้ท้อง ปรากฏในช่วงตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ และอาจกินเวลาต่อไปนานถึง 12 สัปดาห์ จะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน มักจะมีอาการแพ้หลังตื่นนอนตอนเช้า แต่บางคนก็แพ้ได้ตลอดทั้งวัน
  • มีอาการอ่อนเพลีย
  • มีอารมณ์แปรปรวน
  • การเปลี่ยนแปลงของเต้านม เต้านมจะเริ่มคัดตึง ขยายใหญ่ขึ้น
  • รู้สึกเด็กดิ้น เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 4 - 5 เดือน

แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค

อาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจปัสสาวะยืนยันการตั้งครรภ์ และทำอัลตราซาวนด์เพื่อประเมินว่าการตั้งครรภ์เกิดในมดลูกหรือไม่ และมีอายุครรภ์เท่าใด ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องเจาะเลือดเพื่อช่วยยืนยันการตั้งครรภ์ในระยะแรก

แนวทางการดูแลรักษา

  1. หญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรไปฝากครรภ์กับสูติแพทย์ และเข้ารับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ
  2. การรับประทานอาหาร หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับประทานอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน และควรได้รับธาตุเหล็กเสริมในระหว่างการตั้งครรภ์
  3. การออกกำลังกาย สามารถออกกำลังกายได้ถ้าไม่ใช้แรงมากๆ
  4. การขับถ่าย การดื่มน้ำให้มากพอ รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากขึ้นอย่างผักและผลไม้ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการท้องผูกได้
  5. การสวมใส่เสื้อผ้าสวมใส่เสื้อผ้าที่เมื่อสวมแล้วรู้สึกสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป
  6. ควรงดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์
  7. การมีเพศสัมพันธ์ หญิงตั้งครรภ์สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ ยกเว้นในช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์
  8. การใช้ยาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย ในขณะตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะยาบางชนิดมีผลทำให้ทารกพิการได้

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ

สูตินรีแพทย์

ข้อควรระวัง

อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์

  1. มีเลือดออกจากช่องคลอด ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม
  2. แพ้ท้องรุนแรง หรือยาวนานมากกว่าปกติ
  3. ความดันโลหิตสูง ร่วมกับปวดศีรษะ ตาพร่ามัว บวมบริเวณมือ เท้า หรือใบหน้า
  4. เด็กดิ้นน้อยลง โดยเฉพาะหลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน
  5. ปวดท้องมาก หญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัว ควรรีบไปฝากครรภ์เพื่อประเมินความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ว่าโรคประจำตัวหรือยาที่ทานจะส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือตัวคุณแม่หรือไม่

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.sikarin.com/health/อาการคนท้องเดือนแรก-สัญ    https://www.cdc.gov/pregnancy/index.html

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

หญิง | อายุ 18 ปี

สงสัยภาวะตั้งครรภ์ (Pregnancy not yet confirmed)

  • ปวดท้อง
  • แสบท้อง
  • จุกแน่นท้อง
  • +3

แฟนของผมโดยปกติจะมีรอบเดือนอยู่ที่ประมาณ27วัน ซึ่งล่าสุดคือ19-24ต.ค. เรามีเพศสัมพันธ์กันในวันที่11พ.ย.แบบไม่ได้ป้องกันประมาณ1-2นาที แต่หลังจากนั้นก็สวมถุงป้องกันและไม่ได้หลั่งใน หลังจากนั้นภายใน1ชม.ก็ไปกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน(แบบ1เม็ด) หลังจากที่กินยามีเพียงเลือดออกที่ช่องคลอดประมาณ3วันซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากผลข้างเคียงของยา กำหนดรอบเดือนในพ.ย.ของเธอคือ15พ.ย. หากผลข้างเคียงที่จำทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าเดิม1สัปดาห์ก็น่าจะมาในวันที่22พ.ย. แต่จนถึงวันนี้25พ.ย. น่าจะเป็นวันที่37แล้ว ประจำเดือนก็ยังไม่มา ถามดูแล้วเจ้าตัวไม่พบความผิดปกติอะไรเลย ไม่ได้ปวดท้องหรือฉี่บ่อยขึ้นกว่าเดิม และไม่ได้เครียดด้วย

thumbs-up

1

thumbs-upแพทย์ตอบคำปรึกษาแล้ว

หญิง | อายุ 21 ปี

สงสัยภาวะตั้งครรภ์ (Pregnancy not yet confirmed)

  • ปวดท้อง
  • แสบท้อง
  • จุกแน่นท้อง
  • +4

พอดีว่าตรวจครรภ์ไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค ขึ้น 2 ขีดจางๆ แล้วก็มาตรวจอีกทีวันที่ 21 ก.ค ขึ้น 2 ขีดเข้มเลย จากนั้นวันที่ 22 ก.ค ตอนเย็นก็ตรวจอีกรอบ รอบนี้ตรวจไป 3 ครั้ง ทั้ง 3 ครั้ง มีผล ลบ หมดเลย (1ขีด) ล่าสุดวันที่23 ก.ค ก็ลองตรวจดูอีก 2 ครั้ง(ปัสสาวะแรก) เป็นผล ลบ เหมือนกันทั้ง 2 เลย เลยสงสัยว่าแบบนี้ถือว่ายังตั้งครรภ์อยู่มั้ย หรือว่ามีภาวะอะไรขึ้นมารึป่าว อัพเดท เวลา 22:45 มีเลือดออกที่ช่องคลอด ก่อนหน้ามีอาการปวดท้องน้อยคล้ายปวดท้องประจำเดือนมีอาการหนาว สีเลือดออกเข้ม และ ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน กับ 25 วัน แล้ว

thumbs-up

1

thumbs-upแพทย์ตอบคำปรึกษาแล้ว

บทความที่เกี่ยวข้อง

article-cover
  • อวัยวะเพศ, ระบบสืบพันธุ์
  • เชื้อราในช่องคลอด (Candida vaginitis)

เชื้อราในช่องคลอด (Candida vaginitis)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคเชื้อราในช่องคลอดเกิดจากการติดเชื้อราภายในช่องคลอดหรือบริเวณปากช่องคลอด ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการคันอย่างรุนแรง แต่โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยปกติทุกคนมีเชื้อราในช่องคลอดอยู่แล้วปริมาณน้อยๆซึ่งไม่ก่อให้เกิดโรค แต่เมื่อมีการเพิ่มจำนวนของเชื้อราขึ้นมากกว่าปกติจะทำให้สภาพภายในช่องคลอดเสียสมดุลและเกิดอาการของโรคขึ้นได้ โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้ * การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน จะไปลดปริมาณแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอด และทำให้ค่าความเป็นกรดด่างภายในช่องคลอดเสียสมดุ

article-cover
  • อวัยวะเพศ, ระบบสืบพันธุ์
  • อัณฑะอักเสบ (Epididymo-orchitis)

อัณฑะอักเสบ (Epididymo-orchitis)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคอัณฑะอักเสบมีสาเหตุส่วนใหญ่จากการติดเชื้อ โดยเชื้อที่พบบ่อยแบ่งเป็น 1. เชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่ผ่านมาทางท่อปัสสาวะ เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางโครงสร้างของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ท่อปัสสาวะตีบ หรือการคาสายสวนท่อปัสสาวะ 2. เชื้อแบคทีเรียก่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย อาการของโรค * ปวดอัณฑะแบบค่อยๆ ปวดมากขึ้น * อัณฑะบวมข้างเดียว โดยมักจะมีอาการก่อนมาโรงพยาบาลหลายวัน * มีอาการปวดเวลาปัสสา

article-cover
  • อวัยวะเพศ, ระบบสืบพันธุ์
  • ภาวะประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ

ภาวะประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ (Oligomenorrhea)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โดยทั่วไป รอบเดือนแต่ละรอบของผู้หญิงจะห่างกันประมาณ 21 - 35 วัน ภาวะประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ คือ ภาวะที่มีการขาดประจำเดือน หรือประจำเดือนมาห่างกว่าปกติ อาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และไม่ใช่สัญญาณอันตรายเสมอไป ส่วนใหญ่มักเกิดกับวัยรุ่นและผู้หญิงที่ใกล้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ตัวอย่างสาเหตุประจำเดือนมาน้อยอื่นๆ ได้แก่ * การตั้งครรภ์ ผู้ที่ตั้งครรภ์อาจมีเลือดออกจากช่องคลอดแบบกะปริบกะปรอยในช่วงแรก จากนั้นจะขาดประจำเดือนไป หากมีความเสี่ยงตั้งครรภ์ควรทำการตรวจการตั้งครรภ์

article-cover
  • อวัยวะเพศ, ระบบสืบพันธุ์
  • มะเร็งปากมดลูก (CA cervix)

มะเร็งปากมดลูก (CA cervix)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในสตรีไทย และทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก สาเหตุสำคัญของโรคนี้เกิดจากเชื้อ Human papilloma virus หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะเคยได้รับเชื้อนี้แต่ร้อยละ 90 นั้นร่างกายสามารถกำจัดเชื้อออกไปได้เอง ขณะที่ผู้ที่ได้รับเชื้ออีกร้อยละ 10 ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด เชื้อนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเ