โรค ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

โรคสุดฮิต ! ปวดหัวไมเกรน

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค

เรียกอีกอย่างว่าโรคปวดศีรษะเป็นชุดๆ อาการปวดประเภทนี้พบบ่อยในวัยรุ่นไปถึงวัยกลางคน โดยเฉพาะเพศชายที่สูบบุหรี่ ยังไม่ทราบกลไกการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่คาดว่า เกิดจาก ความผิดปกติของเส้นประสาทและระบบประสาทอัตโนมัติ

อาการของโรค

จะมีอาการปวดอย่างรุนแรงด้านเดียวบริเวณรอบตา เหนือเบ้าตา หรือ ขมับ ร่วมกับมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล หนังตาบวม เหงื่อออกที่หน้าและหน้าผาก รู้สึกกระสับกระส่าย ถ้าไม่ได้รักษาอาการปวดจะเป็นอยู่นาน 15 นาที - 3 ชั่วโมง (เฉลี่ยประมาณ 1 ชั่วโมง) ลักษณะอาการปวดเป็นได้หลายแบบ เช่น ปวดแสบร้อน ปวดเหมือนมีอะไรมาแทง ปวดเหมือนลูกตาจะหลุด ปวดตุ้บๆ เป็นต้น ลักษณะพิเศษของการปวดชนิดนี้ คือ จะมีอาการปวดศีรษะมาเป็นเวลาที่แน่นอน มาเป็นชุดๆ (Cluster) เช่น ปวดศีรษะในช่วงเดือนนี้ของทุกปี จะปวดเป็นเวลาหลายวัน หรือ หลายสัปดาห์ หลังจากนั้นจะไม่มีอาการปวดศีรษะเลย จนกลับมาช่วงเดือนที่ปวดก็จะมีอาการอีกครั้ง

แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค

อาศัยประวัติจากผู้ป่วยเป็นหลัก

แนวทางการดูแลรักษา

แบ่งเป็นการรักษาระยะเฉียบพลันและการป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดซ้ำอีก

  1. ระยะเฉียบพลัน : เนื่องจากโรคนี้บางครั้งเป็นแค่ 30 นาทีแล้วหายการใช้ยาอาจไมจำเป็น สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาจะได้รับการดมออกซิเจน หรือได้รับยาแก้ปวดกลุ่มเดียวกับที่ใช้รักษาไมเกรน (ergot/sumatriptan)
  2. ยาที่ป้องกันปวดศีรษะ cluster เพื่อลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ เช่นยากลุ่มจิตเวช (lithium) ยาสเตียรอยด์ ยากันชัก หรือยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ (verapamil)

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ

อายุรแพทย์ระบบประสาท, กุมารแพทย์ ระบบประสาท กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี

ข้อควรระวัง

หากมีอาการปวดศีรษะดังต่อไปนี้ ควรพบแพทย์

  • ปวดศีรษะครั้งแรกในชีวิต (ไม่เคยปวดแบบนี้มาก่อน)
  • ปวดศีรษะรุนแรงมากที่สุดในชีวิต ปวดฉับพลันทันที
  • ปวดศีรษะมากจนต้องตื่นกลางดึก
  • ปวดศีรษะข้างเดิมตลอด
  • ปวดศีรษะมากขึ้นเมื่อไอ จาม เบ่ง ออกแรง เปลี่ยนท่าทาง หรือขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปีที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรกหรือเปลี่ยนไปจากเดิม
  • ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง, โรคมะเร็ง, SLE (โรคแพ้ภูมิตนเองหรือลูปัส)
  • ปวดศีรษะจนต้องใช้ยาแก้ปวดปริมาณมากหรือบ่อย
  • ปวดศีรษะร่วมกับอาการผิดปกติอย่างอื่น เช่น ไข้ ผื่น เห็นภาพซ้อน หลงลืม พูดลิ้นแข็ง ปากเบี้ยว ชา อ่อนแรง เดินเซ ชัก สับสน เป็นต้น

ข้อมูลเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด