โรค นิ่วในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract stone) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค

นิ่วคือก้อนหินปูนหรือผลึกเกลือแร่ซึ่งเกิดในไต แล้วหลุดเข้าไปอุดตันอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะบริเวณกระเพาะปัสสาวะ ท่อไต และกรวยไต ทำให้เกิดการขัดขวางทางเดินของน้ำปัสสาวะ และมีอาการปวด หรือติดเชื้อตามมา ส่วนประกอบของนิ่วมีหลายอย่างเช่น แคลเซียม ออกซาเลต หรือกรดยูริค โดยสาเหตุการเกิดนิ่วมีหลายสาเหตุ เช่น มีสารเหล่านี้ในปัสสาวะมากผิดปกติ หรือทางเดินปัสสาวะตีบแคบจากสาเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตีบแต่กำเนิด หรือมีก้อนเนื้ออุดกั้น ทำให้ปัสสาวะคั่งค้างในไตและสะสมกลายเป็นก้อนนิ่วในที่สุด ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่ว ได้แก่

  • ดื่มน้ำน้อยเกินไป หรืออยู่ในภาวะขาดน้ำ
  • พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีสารก่อนิ่วในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ อาหารที่มีโปรตีน เกลือ และน้ำตาลสูง
  • ภาวะน้ำหนักเกิน
  • มีโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหาร เช่น ไตอักเสบ โรคหลอดเลือดในท่อไต ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ โรคลำไส้อักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง โรคเกาต์
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม คือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วมาก่อน

อาการของโรค

ก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กมาก ๆ อาจหลุดออกไปพร้อมกับการขับปัสสาวะ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการหรือความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ อาการของนิ่วในไตอาจไม่ปรากฏให้เห็นจนกระทั่งก้อนนิ่วเริ่มเคลื่อนตัวรอบๆไต หรือ เคลื่อนลงไปยังท่อไตและกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ตามมา

  • ปวดบริเวณหลังเยื้องมาบั้นเอว หรือปวดช่องท้องด้านล่าง ข้างซ้ายหรือขวา ร้าวลงไปถึงบริเวณขาหนีบ
  • มีอาการปวดบีบเป็นระยะ และปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ ที่บริเวณดังกล่าว
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปวดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด
  • ปวดปัสสาวะบ่อย
  • ปัสสาวะขุ่นหรือมีกลิ่นแรง
  • คลื่นไส้ อาเจียน

แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค

แพทย์สามารถตรวจและวินิจฉัยโรคนิ่วในไตและท่อไตได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจเพิ่มเติม อาทิ

  • ตรวจเลือด เพื่อดูค่าการทำงานของไต และตรวจวัดระดับของสารที่อาจทำให้เกิดนิ่ว โดยผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตอาจตรวจพบว่ามีปริมาณแคลเซียมหรือกรดยูริกในเลือดที่มากเกินไป
  • ตรวจปัสสาวะ เพื่อหาสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของนิ่ว และตรวจหาภาวะติดเชื้อในปัสสาวะ
  • ตรวจดูจากภาพถ่ายทางรังสีของไต ช่วยให้สามารถมองเห็นก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นตามทางเดินปัสสาวะ การถ่ายภาพไตมีหลากหลายวิธี เช่น การฉายรังสีเอกซ์เรย์ในช่องท้อง ซึ่งทำได้ง่ายแต่อาจทำให้มองไม่เห็นก้อนนิ่วขนาดเล็กหรือนิ่วบางชนิดที่ไม่สะท้อนรังสีเอกซเรย์ , การตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ไต หรือตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ซึ่งทำได้ยากและใช้เวลานานกว่า แต่จะช่วยให้เห็นนิ่วก้อนเล็กๆได้

แนวทางการดูแลรักษา

การรักษาโรคนิ่วในไตและท่อไตขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่ว หากก้อนนิ่วมีขนาดเล็กมาก แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายขับนิ่วออกมาเองตามธรรมชาติ และให้รับประทานยาบรรเทาอาการปวดร่วมด้วย หรืออาจให้ยาช่วยขับก้อนนิ่วเพื่อให้หลุดออกมาทางปัสสาวะ ในกรณีที่นิ่วมีขนาดใหญ่ แพทย์จะพิจารณาเอานิ่วออกโดยเลือกใช้วิธีดังต่อไปนี้

  • การสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก (Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy : ESWL) เป็นการใช้คลื่นเสียงทำให้เกิดแรงกระแทกที่ก้อนนิ่วจนก้อนนิ่วแตกเป็นชิ้นเล็กๆ และหลุดออกมากับปัสสาวะ
  • การส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ (Ureteroscopy) โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีกล้องติดอยู่ผ่านเข้าไปตามท่อปัสสาวะเพื่อขบนิ่วให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำออกทางมาทางท่อ วิธีนี้ใช้ในกรณีที่นิ่วอยู่บริเวณท่อไตใกล้กับกระเพาะปัสสาวะ
  • การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ หรือ เป็นนิ่วเขากวางที่มีกิ่งก้านหลายกิ่งจนไม่สามารถเอาออกด้วยวิธีอื่นได้

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ

ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ, กุมารแพทย์ โรคไต กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี

ข้อควรระวัง

เมื่อนิ่วในไตที่มีขนาดใหญ่ เคลื่อนจากไตไปสู่ท่อไตที่เล็กและบอบบาง ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนในลักษณะของการหดเกร็งและอาจมีเลือดออกปนมาให้เห็นในปัสสาวะ นิ่วในไตยังอาจไปปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ ทำให้เกิดท่อปัสสาวะอุดกั้น และนำไปสู่การติดเชื้อ และอาจมีการบาดเจ็บที่ไตทำให้มีภาวะไตวายได้ หากสังเกตว่าปัสสาวะออกน้อยลง หรือ มีไข้สูง หนาวสั่น ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่โรงพยาบาล

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/urinary-tract-stones https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/16514-ureteral-stones

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด