โรคแพนิค (Panic Disorder) หรือแค่ขี้ตกใจ

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

ตรวจสอบข้อมูลโดย

_review_nick-profile-picture

แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน

โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

ภาพทั้งหมด (3)

ช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ นอกจาก โรคซึมเศร้า แล้ว ก็จะมี โรคแพนิค (Panic Disorder) หรือ โรคตื่นตระหนก ไม่ว่าจะจากหนัง หรือเหล่านักแสดง นักร้อง อย่าง คุณโอ๊ต ปราโมทย์ หรือคุณหนุ่มกรรชัย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผย ว่า ตัวเองนั้นเป็น หรือเคยเป็นโรคนี้!

โรคแพนิค (Panic Disorder)
โรคแพนิค (Panic Disorder)

คนส่วนมาก อาจมีความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘โรคแพนิค’ แตกต่างกันออกไป เช่น คนที่เป็นแพนิคไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ ไม่ชอบที่แคบ เป็นคนขี้กังวล ขี้กลัว ถ้ามีอาการจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นต้น

แล้วมันเป็นแบบนี้จริงๆหรือเปล่า?

  • เรามาทำความรู้จักกับ ‘โรคแพนิค’ โรคที่เป็นได้ ไม่รู้ตัว!
  • สาเหตุของโรคแพนิค
  • อาการแพนิค (Panic Attack) VS อาการวิตกกังวล (Anxiety Attack)
  • การรักษาโรคแพนิค


เรามาทำความรู้จักกับ ‘โรคแพนิค’ โรคที่เป็นได้ ไม่รู้ตัว!

โรคแพนิค หรือ โรคตื่นตระหนก คือ โรคที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะตื่นตระหนกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผล แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายก็ตาม
แน่นอนว่า ภาวะตื่นตระหนก (Panic Attack)  สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และไม่สามารถควบคุมเวลาเกิดได้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก และอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกละอายใจ จนไม่กล้าเข้าสังคม

ยังไงกันหล่ะ ถ้าแค่ตกใจ หรือกังวล มันขนาดนั้นเลยหรอ?

โรคแพนิคเป็นอาการที่รุนแรงกว่าความเครียด โดยอาจเกิดขึ้นได้ถึง 10 นาที จนถึง 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว

โดยอาจมีอาการ

  • ร่างกายไม่มีแรง ตัวสั่น จะเป็นลม
  • มือเท้าเย็นและชา
  • มีเหงื่อออก
  • เวียนหัว คลื่นไส้
  • หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก
  • หัวใจเต้นแรง ใจสั่น
  • เกิดอาการกลัวสุดขีด
อาการโรคแพนิค (Panic Disorder)
อาการโรคแพนิค (Panic Disorder)

**โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้น โดยไม่มีสาเหตุ หรืออาจมีสิ่งที่ทำให้อาการของผู้ป่วยกำเริบ


โรคแพนิค VS คนขี้กลัว

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคแพนิคไม่ได้แปลว่าพวกเขามีนิสัย ขี้กลัว หรือ ขี้กังวล อย่างที่ใครหลายๆคนเข้าใจ เพราะสาเหตุของโรคนี้ ไม่ได้มีแค่ปัจจัยทางจิตใจ หรือนิสัยเพียงเท่านั้น

แล้ว…มันจะเกิดจากอะไรได้หล่ะ?

เช่นเดียวกับโรคอาการทางจิตอื่นๆ สาเหตุของโรคแพนิคนั้น ยากที่จะระบุอย่างชัดเจน ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงเป็นโรคแพนิค แต่พวกเขามาพบแพทย์ด้วย อาการใจสั่น เพราะกลัวตัวเองเป็นโรคหัวใจนั่นเอง


สาเหตุของโรคแพนิคมีอะไรบ้างล่ะ?

อาจแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ สาเหตุจากสุขภาพกาย และสาเหตุจากสุขภาพใจ

สุขภาพกาย : ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ความผิดปกติของสมอง และการได้รับสารเคมีต่างๆ

ถ่ายทอดทางพัธุกรรม : ผู้ที่มีคนในครอบครัว หรือญาติที่สายเลือดใกล้ชิด เป็นโรคแพนิค หรือกลุ่มโรคอาการทางจิตอื่นๆ อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้น

ความผิดปกติของสมอง : เช่นเดียวกับ โรคซึมเศร้า และอาการทางจิตอื่นๆ ที่เกิดจากสารสื่อประสาท หรือเคมีในสมองไม่สมดุล อาจทำให้เกิดโรคแพนิคได้

การได้รับสารเคมี : ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือ ผู้ที่ใช้สารเสพติด อาจมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคแพนิคได้มากกว่าคนปกติ

ได้มีวิจัยที่สันนิษฐานว่า โรคแพนิค มีความเกี่ยวข้องกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดย การสูดดมก๊าซนี้เป็นปริมาณที่มาก อาจไปกระตุ้นอาการแพนิคได้

สุขภาพจิต : หลายๆคนอาจพอจะเดาได้ว่า เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ส่งผลอย่างมากกับโรคอาการทางจิต

เช่นเดียวกับโรคอาการทางจิตอื่นๆ สถานการณ์ร้ายแรงอาจหมายถึง การสูญเสียคนที่รักไปเป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับโรคแพนิค โดย ผู้ป่วยอาจมีอาการกลัว เนื่องจากผ่านเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมา และถ้ามีอาการแบบนี้ยาวนานไปเป็น เดือนๆ หรือปีๆ อาจนำไปสู่การป่วยเป็น โรคแพนิคได้


อาการแพนิค (Panic Attack) VS อาการวิตกกังวล (Anxiety Attack)

Panic Attack vs Anxiety Attack
Panic Attack vs Anxiety Attack GIF from :https://www.verywellmind.com/

พอดูๆแล้ว อาจจะรู้สึกว่าทั้งสองอาการนี้เหมือนกันอยู่บ้าง และเป็นหนึ่งในอาการของโรคอาการทางจิตเหมือนกัน แต่แน่นอนว่า มีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่

โดยข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือ

อาการแพนิค อาจเกิดเมื่อไหร่ก็ได้
อาการวิตกกังวล อาจค่อยๆก่อตัวขึ้น สะสมตามระยะเวลา

อาการแพนิค อาจหยุดได้ภายใน ไม่กี่นาที หรือชั่วโมง
อาการวิตกกังวล อาจใช้เวลานานถึงจะสามารถดีขึ้น หรือหาย

อาการแพนิค อาจเกิดได้โดย มีหรือไม่มีตัวกระตุ้นก็ได้
อาการวิตกกังวล อาจเกิดได้จากสิ่งกระตุ้น อย่างความเครียดเป็นต้น


กลัวขนาดไหน ถึงเรียกว่า ‘โรคแพนิค’

ผู้ที่เคยมีมีอาการแพนิค (ตามที่กล่าวไปข้างต้น) ควรไปพบแพทย์ เนื่องจาก อาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นได้ อย่าง โรคหัวใจ หรือความผิดปกติบริเวณต่อมไทรอยด์

หากแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายแล้ว ไม่ได้พบความผิดปกติใดๆ แพทย์อาจสอบถามอาการที่เกี่ยวกับความหวาดกลัว หรือวิตกกังวล รวมถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจทำให้อาการกำเริบ

แพทย์อาจให้ทำแบบประเมินทางจิตวิทยาและสอบถามประวัติการใช้สารเสพติด หรือ เครื่องดื่มแอลกอล์ฮอล เพื่อประการวินิจฉัย

หากเพื่อนๆคนไหนมีอาการ

  • เกิดอาการแพนิคบ่อยๆ แบบไม่มีสาเหตุ
  • มีอาการกลัว หรือ กังวล หลังจากผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญ มากกว่า 1 เดือน หรือมากกว่านั้น
  • ไม่สามารถจัดการอารมณ์ตัวเองได้
  • อาการแพนิคไม่ได้เกิดจากสารเสพติด แอลกอฮอล์ ยาบางชนิด หรือ ปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ เช่น โรคกลัวสังคม หรือ โรคย้ำคิดย้ำทำ

เป็น ‘โรคแพนิค อาจเป็นมากกว่า ‘โรคแพนิค’

แน่นอนว่า โรคแพนิค อาจมีภาวะแทรกซ้อน อย่าง โรคซึมเศร้า  รวมถึงโรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า และโรคแพนิค มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายมากกว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารายอื่นๆ

เสี่ยงเป็น โรคกลัวชุมชน (Agoraphobia) เนื่องจาก สองโรคนี้เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวกับ อาการกลัวชุมชน หรือที่สาธารณะ ผู้ป่วยอาจมีอาการกังวลเมื่อเดินทางคนเดียว เนื่องจากไม่รู้ว่าอาการแพนิคของตัวเองจะมาเมื่อไหร่ และรู้สึกละอาย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้

นอกจากนี้โรคแพนิค อาจทำให้เกิดอาการโฟเบีย (phobia) อื่นๆ ซึ่งหมายความว่า ผู้ป่วยจะมีความกลัวที่ไม่ปกติ โดยมักเกิดขึ้นกับความกลัวสิ่งของ บุคคล การกระทำ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ และจะแตกต่างกันออกไป

อย่าง การกลัวที่แคบ เพราะผู้ป่วยอาจเคยเกิดอาการแพนิคในที่แคบมาก่อน


การรักษาโรคแพนิค

ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และต่อเนื่อง เนื่องจากโรคนี้สามารถหายได้ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้หลังจากการรักษา

โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วย และอาการของโรค ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วย จิตบำบัด อย่าง CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือ การใช้ยา อย่าง ยาต้านเศร้า ยากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (SSRI) ยากันชัก เป็นต้น

** ทุกการรักษาต้องอยู่ในมือแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ

และแน่นอนว่า กันไว้ดีกว่าแก้ เสมอ อาการเหล่านี้ เราสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นได้ โดย

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราให้ดีขึ้นอย่าง การพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ลดการดื่มคาเฟอีน หรือ แอลกอฮอล์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การปรับความคิดและจิตใจอย่าง ควรทำความเข้าใจว่าอาการแพนิคไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นและหายไปได้ การให้ความร่วมมือในการรักษา ตั้งสติ ผ่อนคลาย หายใจให้ช้าลง เพราะการหายใจเร็ว อาจทำให้อาการแพนิคกำเริบได้

โรคแพนิค ถึงแม้จะไม่ได้อันตรายต่อชีวิต แต่อาจส่งผลกระทบชีวิตประจำวันอย่างมาก เพราะฉะนั้นการเข้าใจในอาการและร่างกาย รวมถึงการสังเกตสัญญาณเตือนต่างๆ และการเข้าถึงการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา คงจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญอีกด้วย

Agnos ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผู้ที่เผชิญโรคนี้อยู่ และสนับสนุนให้ทุกคนหมั่นตรวจเช็กสุขภาพกายและใจ เพื่อให้เรารู้ทันโรคและอาการต่างๆได้ทันท่วงนี้!

หากมีอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ สามารถวิเคราะห์อาการเบื้องต้นกับเรา  Agnos Application ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เสมือนมีเพื่อนเป็นหมอ


อ้างอิง

https://www.pobpad.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84

https://allwellhealthcare.com/panic-symptoms/

https://www.medicalnewstoday.com/articles/321798#signs-and-symptoms

https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/1723

https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/panic-disorder.html#panic-symptoms

https://www.bangkokbiznews.com/social/965803

บทความที่เกี่ยวข้อง