ลำไส้แปรปรวน vs อาหารเป็นพิษ ต่างกันยังไง?


เขียนโดย
ตรวจสอบข้อมูลโดย

บางคนอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อร่อยปาก ลำบากกาย” กันมาบ้าง
กินจัดเต็มทีไร ก็ท้องเสีย แน่นท้องทุกที ! ไม่ว่าจะปวดท้องข้างซ้ายที ข้างขวาที ปวดจนไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะกินยาอะไร เป็นทีก็คิดว่าตัวเองเป็น “อาหารเป็นพิษ” แน่ๆเลย
แต่เดี๋ยวก่อน…
อาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสียเนี่ย ไม่ได้มีแต่อาหารเป็นพิษเท่านั้น ยังมีอีกโรคที่คล้ายๆกันอย่าง “โรคลำไส้แปรปรวน”
แล้วสองอย่างนี้มันต่างกันยังไง..?
อันดับแรกเรามาทำความรู้จักกับ “โรคลำไส้แปรปรวน” กันก่อน !
โรคลำไส้แปรปรวน หรือ (Irritable Bowel Syndrome)
คือโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะลำไส้ จะไม่พบความผิดปกติใดๆเกี่ยวกับโครงสร้าง และไม่มีพยาธินั่นเอง
เป็นโรคที่จะทำให้ผู้ป่วย ไม่สบายท้อง ไม่ว่าจะเป็นอาการ แน่นท้อง ท้องผูก ท้องเสีย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ผู้ป่วยอาจมีอาการอั้นอุจจาระไม่อยู่ร่วมด้วยนั่นเอง
จะพบมากในช่วง วัยรุ่นตอนปลายถึงช่วงอายุประมาณ 40 ปีและจะพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อาการเป็นยังไง?
อาการหลักๆของโรคลำไส้แปรปรวน คือ แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊สในท้อง โดยผู้ป่วยจะอุจจาระแข็งหรือนิ่มกว่าปกติ มีเมือกใส หรือสีขาวปน รวมถึงผู้ป่วยอาจอั้นอุจจาระไม่อยู่ หรืออุจจาระไม่สุด
ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆตามมาด้วย เช่น กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หมดแรง ปวดหลัง หรือแม้แต่เจ็บที่อวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ (ในผู้หญิง)
โดยลำไส้แปรปรวนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท :
- กลุ่มอาการท้องผูก (IBS-C)
- กลุ่มอาการท้องเสีย (IBS-D)
- กลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (IBS-M)
ถึงแม้ลำไส้แปรปรวนอาจไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจทำให้อาการแย่ลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
แล้วอะไรทำให้เกิด ลำไส้แปรปรวนกัน ?
แน่นอนว่านอกจากความเครียดและอาหารที่เรากินเข้าไปแล้วเนี่ย ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เราเสี่ยงหรือเป็นโรคนี้ได้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงประจำเดือนอาจมีส่วนในการทำให้เกิดลำไส้อักเสบได้ เพราะฉะนั้นอาจพบโรคนี้มากในผู้หญิง
- ถึงแม้โรคนี้จะพบได้ในทุกวัย แต่พบมากในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงช่วงอายุประมาณ 40-50ปี
- พันธุกรรม
- นอกจากความเครียดแล้ว ปัญหาทางจิต อย่างอาการวิตกกังวล หรือเคยประสบเหตุการณ์รุนแรงที่กระทบจิตใจ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้
- ปัญหาในการย่อยอาหาร หากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารเร็วเกินไป อาจทำให้ร่างกายไม่ทันได้ดูดซึมน้ำและสารอาหาร จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย และหากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารช้าเกินไป ร่างกายดูดซึมน้ำและสารอาหารมากเกินไป จะทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวลำบากและเกิดอาการท้องผูก
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาอาการซึมเศร้า
ถ้าเป็นหรือสงสัยว่าตัวเองเป็นทำยังไงดี ?
หากยังไม่แน่ใจ สามารถตรวจคัดกรองอาการด้วยแอปพลิเคชั่น Agnos ก่อนได้ หรือหากมีอาการข้างต้นควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา
โดยการรักษามีหลายวิธีมากในสมัยนี้ อย่างการเอกซเรย์ (X-Rays) การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก เพื่อหาความผิดปกติ หรือสัญญาณของการอุดตัน หรืออักเสบ
หากผู้ป่วยมีอาการแสบร้อนกลางอก หรืออาหารไม่ย่อย แพทย์อาจทำการตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
การทดสอบต่างๆเช่น การทดสอบการแพ้แลคโตส การตรวจเลือด หรือการตรวจอุจจาระ อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แพทย์อาจทำมาใช้รักษาและหาต้นตอนั่นเอง
นอกจากนี้อาจมีการใช้ยาเข้ามาร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวดท้อง ยาระบาย ยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ เป็นต้น
*การใช้ยาควรจะปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวหาญทุกครั้ง
เราจะดูแลตัวเองยังไง ?
นอกจากการไปปรึกษาแพทย์แล้ว การที่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินของเรา เช่น รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย ดื่มน้ำเยอะๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยาก เพื่อลดการเกิดแก๊สในท้อง และท้องอืด เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี หรืออาหารแปรรูปเป็นต้น
ไม่ควรอดอาหาร และไม่ควรกินอาหารเร็วเกินไป ลดเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
แน่นอนว่าเราต้องออกกำลังกายด้วยเช่นกัน !
ลดความเครียด เนื่องจากความเครียดส่งผลกระทบต่อระบบขับถ่ายของเรา
แล้วอาหารเป็นพิษล่ะ เป็นยังไง ?
อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) คือ ภาวะที่ร่างกายได้รับน้ำหรืออาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียเข้าไป จนทำให้เกิดการปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลว คลื่นไส้ และอาเจียน
อาการที่พบได้บ่อย
นอกจากอาการถ่ายอุจจาระมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน คลื่นไส้หรืออาเจียนแล้ว อาจมีไข้ ปวดหัว รวมถึงการปวดเมื่อยตามตัว
นอกจากนี้ร่างกายอาจสูญเสียน้ำเยอะ จนทำให้เกิดอาการ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และหิวน้ำเป็นต้น
รักษายังไง ?
ส่วนมากเราจะหายได้เองภายในหนึ่งถึงสองวัน โดยสามารถรักษาตามอาการได้เอง
- ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เมื่อท้องเสีย
- กินยาแก้คลื่นไส้
- งดอาหารรสจัด พยายามทานอาหารอ่อนๆช่วงที่มีอาการ
- งดกิจกรรมหนักๆ
- หากไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
สรุปแล้วสองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร ?
ถึงแท้ทั้งสองอาการนี้จะมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว แน่นท้อง หรือไม่สบายคล้ายๆกัน แต่สาเหตุนั้น ต่างกันมาก
โดยอาหารเป็นพิษนั้น เกิดจากการที่เรากินอาหารที่ไม่สะอาด มีแบคทีเรียเข้าไป แต่หากเป็นลำไส้แปรปรวน อาจมีสาเหตุอย่าง ความเครียด พันธุกรรม และปัจจัยโรคอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย
โดยทั้งสองอย่างอาจไม่อันตรายถึงชีวิตแต่อาจส่งผลกระทบกับเรามากในชีวิตประจำวัน และเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆของอาการและโรคนี้ เราควรจะกินอาหารสุก ลดปัจจัยเสี่ยง และหมั่นตรวจเช็คร่างกายของเราด้วย !
หากมีอาการผิดปกติ หรือความไม่สบายใจใดๆ สามารถคัดกรอง หรือเช็คอาการก่อน ด้วยแอปพลิเคชั่น Agnos ด้วย AI หรือปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ด้วยเช่นกัน
อ้างอิง :
https://www.pobpad.com
https://www.sikarin.com/health/
https://chulalongkornhospital.go.th