5 โรคที่ผู้หญิงวัยทองต้องควรระวัง ?


เขียนโดย
วัยทองต้องอายุเท่าไหร่ ?
เคยสงสัยมั้ยว่า…จริงๆแล้ว ช่วงอายุของ วัยทอง คือเท่าไหร่กัน ? แล้วร่างกายของเราจะเปลี่ยนไปขนาดไหนกันเชียวในช่วงอายุนี้ ?
วันนี้ Agnos จะพามาทำความรู้จักกับวัยทองกัน ! หลายๆคนอาจไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว วัยทองเนี่ย สามารถเกิดได้ทั้งกะบผู้ชายและผู้หญิง
วันนี้เราลองมาเช็กอาการรกันว่าเราหรือคนรอบตัวเรา มีใครบ้างที่กำลังเข้าสู่วัยทอง หรือ อาจเสี่ยงโรคในช่วงวัยทอง !
เรามาเริ่มต้นกับคำถามที่ว่า…
วัยทอง คือ ช่วงอายุประมาณไหน ?
จริงๆแล้ววัยทอง อาจเริ่มได้ตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 40 - 59 ปี ในทั้งหญิงและชาย ในช่วงอายุนี้ หรือ ช่วงวัยทอง ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนทางเพศลดลง และอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาได้
โดยอาการทั่วไปที่พบได้ของ ภาวะวัยทอง คือ
อาการทางด้านร่างกาย
- อ่อนเพลีย กำลังน้อยลง กล้ามเนื้ออาจมีขนาดเล็กลง
- นอนไม่ค่อยหลับ
- อาจมีอาการเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว
- ร้อนวูบวาบ
- ผิวหนังเหี่ยว แห้งและเป็นแผลง่ายขึ้น
- ปวดเมื่อยตามตัว
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- กระดูกบางลง
- ช่องคลอดแห้ง อาจทำให้เกิดอาการติดเชื้อ และอาจเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
อาการทางด้านจิตใจ
- หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน
- รู้สึกเบื่อหน่าย
- ซึมเศร้า หรือ เหงา
- ขี้น้อยใจ
วัยทองในผู้หญิง
สำหรับสาวๆ หนึ่งในอาการที่เห็นได้ชัดมากที่สุดของวัยทอง คือ การหมดประจำเดือนนั่นเอง โดยระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน ทำให้สาวๆหมดประจำเดือนไปเลยนั่นเอง
โดยการหมดประจำเดือนสามารถแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ
- ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause)
โดยระยะก่อนหมดประจำเดือนอาจทำให้สาวๆ ประจำเดือนมาไม่ตรง มาน้อยหรือมากผิดปกติ รู้สึกร้อนวูบวาบ มึนหัว อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน
โดยอาจเกิดก่อนประมาณ 2-3 ปี ก่อนหมดประจำเดือน - ระยะหมดประจำเดือน (Menopause)
โดยอาจเริ่มตั้งแต่การหมดประจำเดือนมาแล้วเป็นเวลา ประมาณ 1 ปี - ระยะหลังหมดประจำเดือน (Postmenopause)
โดยอาจเริ่มหลังจากการหมดประมาณ 1 ปีขึ้นไป ร่างกายอาจมีการเปลี่ยนแปลง จนอาจทำให้เกิดอาการ กระดูกพรุน หรือช่องคลอดตีบแคบ เป็นต้น
นอกจากอาการเบื้องต้นที่ทาง Agnos ได้พูดถึงแล้ว ยังอาจมีภัยเงียบ ที่กว่าจะรู้เราก็มีความเสี่ยงโรคนั้นซะแล้ว ! กับ 5 โรคสาววัยทองควรที่จะต้องระวัง
1. เบาหวาน
เป็นอีกหนึ่งภัยเงียบสำหรับผู้สูงอายุ หรือ ผู้ที่เข้าสู่วัยทอง โดยพบมากถึงร้อยละ 20 ในคนไทยอายุประมาณ 60 ปี
นอกจากนี้ เบาหวาน ยังเป็นโรคที่อาจไม่ค่อยแสดงอาการมากนัก จนกว่าจะได้ไปตรวจสุขภาพ แน่นอนว่าหากพบว่าเป็นเบาหวานแล้ว ส่วนมากจะตามมาด้วยสุขภาพปัญหาอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคไต หรือความดันโลหิตสูง
อาการของผู้ที่เสี่ยงเป็นเบาหวาน
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน
- หิวน้ำบ่อย
- หิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด
- ผิวแห้ง
- เป็นแผลแล้วหายยาก
- ตาพร่ามัว
- ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า
- หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
เบาหวานสามารถป้องกันได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการกินอาหาร โดยทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้การไปตรวจเช็กสุขภาพทุกๆปี เพื่อให้แน่ใจว่าเราห่างจากโรคเบาหวานและโรคอื่นๆด้วย !
โดยทาง Agnos เองก็มีแพ็กเกจตรวจสุขภาพดีๆมาแนะนำ ตรวจครบจบทุกความกังวลที่ PCT แล็ป รวมถึงโรคเบาหวานด้วย ได้มาตราฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำ !
2.โรคความดันโลหิตสูง
อีกหนึ่งโรคที่อาจไม่ได้มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจนมากนัก จนกว่าจะได้ไปตรวจ โดยส่วนมาก โรคความดันโลหิตสูงอาจไม่มีอาการใดๆเลยกว่า 2 ปี แต่เมื่ออาการเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ความดันสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้มีอาการดังนี้
อาการของโรคความดันโลหิตสูง
- ปวดหัว
- เวียนหัว
- คลื่นไส้
- อาจมีอาการเจ็บหน้าอก
นอกจากนี้การที่เรามีภาวะหรือโรคความดันโลหิตสูง อาจทำให้เราเสี่ยงโรคอื่นๆได้ เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ เป็นต้น
โดยหากเราวัดความดันแล้วมีตัวเลขมากกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท ถือว่า มีความเสี่ยงมีภาวะความดันโลหิตสูง ควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษาแนวทางป้องกันและรักษาทันที
3.โรคไขมันในเลือดสูง
โรคไขมันในเลือดสูง อาจไม่มีอาการในระยะแรกๆ เช่นเดียวกับสองโรคที่ทาง Agnos ได้พูดถึง แต่อาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาในระยะยาว เช่น โรคหลอดเลือดตีบ หรือแข็งตัว รวมถึงเสี่ยงเป็นโรคหัวใจอีกด้วย
โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะมีไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ
- คอเรสเตอรอล (Cholesterol) เป็นไขมันที่พบได้ทั่วไปจากอาหารที่เรากินทั่วไป เช่น อาหารทะเล เนื้อสัตว์ติดมัน หรือขนมกรุบกรอบ
- ชนิดความหนาแน่นต่ำ หรือไขมันไม่ดี (LDL) โดยคอเรสเจอรอลชนิดนี้สามารถไปสะสมตามผนังของหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดตีบ จนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันได้
- ชนิดความหนาแน่นสูง หรือไขมันดี (HDL) ไขมันดีนี้ช่วยขับไล่และขจัดไขมันไม่ดีออกจากหลอดเลือดของเราและแน่นอนว่ามี HDL สูงกว่า LDL ย่อมเป็นเรื่องที่ดีนั่นเอง
2. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เป็นไขมันที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นในตับ หรือ ร่างกายได้รับไขมันจากอาหารประเภทนั้นๆโดยตรง เช่น น้ำมัน หรือเนย
โดยหากเพิ่มสูงขึ้น อาจเกิดจากการใช้ยาฮอร์โมนบางอย่าง กรรมพันธุ์ หรือโรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น
โรคไขมันในเลือดสามารถรักษาและป้องกันได้โดย…
- การจำกัดอาหารที่กินให้เหมาะสม
- ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว
- เน้นการปรุงอาหารที่ไม่ใช่การใช้น้ำมัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์
- งดการสูบบุหรี่
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในมาตราฐาน
- ปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่กังวลใจอื่นๆ
4. โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดในสมอง หรืออีกชื่อที่เราคุ้น คือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยโรคหลอดเลือดในสมองเกิดจากการสูญเสียการทำงานบางส่วนของหลอดเลือดในสมองแตก อุดตัน หรือตีบอย่างเฉียบพลัน พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และเป็นอีกหนึ่งโรคอันดับต้นๆที่ทำให้คนพิการและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีกด้วย
โดยโรคหลอดเลือดในสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
- โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
- โรคหลอดเลือดสมองแตกหรือเลือดออกในสมอง
อาการและสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดในสมอง
- แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก
- ชาครึ่งซีก
- อาจมีอาการปากเบี้ยว มีอาการกลืนลำบาก
- พูดไม่ออก พูดไม่เข้าใจ หรือคนทั่วไปเรียกว่า ลิ้นแข็ง
- ไม่สามารถทรงตัวได้ เดินเซ
- ตาพร่ามัว
- ปวดหัวอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดในสมอง
- กรรมพันธุ์ โดยญาติสายตรงเคยเป็นโรคหลอดเลือด หรือโรคหัวใจขาดเลือด
- อายุ
- ความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคหรือภาวะอ้วน
- ไขมันในเลือดสูง
- สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
การป้องกันโรคหลอดเลือดในสมอง
- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
- คุมระดับความดันและไขมันในเลือด
- กินอาหารที่มีประโยชน์ และให้ครบ 5 หมู่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- หากมีความเสี่ยงควรรีบพบแพทย์ทันที
5. ภาวะช่องคลอดแห้ง
ภาวะช่องคลอดแห้ง คือ ภาวะที่น้ำหล่อลื่นในช่องคลอดมีปริมาณน้อยลง อาจทำให้เยื่อบุบริเวณช่องคลอดนั้นแห้ง จนอาจทำให้เกิดอาการเจ็บ หรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
โดยภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ที่มีภาวะขาดเอสโตรเจน แต่ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากในช่วงวัยทอง ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในช่องคลอดอาจลดลงได้
อาการของผู้ที่มีภาวะช่องคลอดแห้ง
ผู้ที่มีภาวะช่องคลอดแห้งบางรายมีอาการตลอดเวลา ในบางรายอาจมีเฉพาะตอนมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น
- มีอาการระคายเคือง แสบ
- คัน
- อาจมีปัสสาวะเล็ด รวมถึงการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- ช่องคลอดอักเสบ
- มีปัญหาเรื่องอาการตกขาวที่ผิดปกติ
- อาจมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
การรักษาและหาตัวช่วยภาวะช่องคลอดแห้ง
- ใช้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อเพิ่มระดับฮอร์โมน นอกจากนี้ยาเอสโตรเจนยังมีแบบทา และสอดอีกด้วย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การใช้ยาทุกประเภทควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- การใช้เจลหล่อลื่น หรือสารเพิ่มความชุ่มชื้น
โดยเจลหล่อลื่นที่ใช้อาจควรไม่ทำร้ายน้องสาว รวมถึงทำให้เกิดการระคายเคืองผิวอีกด้วย
การตรวจสุขภาพประจำปีและการคอยดูแลร่างกาย ไม่ว่าเรื่องพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ สามารถป้องกันโรคและความเสี่ยงเหล่านี้ได้
อย่าลืมดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดกันด้วยนะ !
และหากใครมีอาการที่กังวลใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Agnos เพื่อทำการวิเคราะห์อาการเบื้องต้นได้ ฟรี 24 ชม. !
อ้างอิง : https://www.nestle.co.th/th/nhw/news
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/dyslipidemia
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/โรคร้าย-วัยทอง
https://www.sikarin.com/health
https://www.vejthani.com/th/2016/04
https://www.phukethospital.com/th/news-events/menopause/
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/577
https://www.sikarin.com/doctor-articles
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/ช่องคลอดแห้ง