AgnosHealth Logo

5 โรคที่สาววัย 30 ต้องระวัง !

มะเร็งปากมดลูก (CA cervix)ตรวจมะเร็งเต้านมมะเร็งรังไข่

แก้ไขล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2566

เขียนโดย

Agnos Team

Agnos Team

แชร์

สาวๆที่เข้าวัย 30 เนี่ยจริงๆแล้ว ยังไม่ถือว่าแก่เลย ถือว่าเป็นวัยที่กำลังได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ไม่ต่างจากตอนช่วงอายุ 20 เลยด้วยซ้ำ แต่หากไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยตัว ไม่ได้มีการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ อาจเสี่ยงโรคเหล่านี้ไม่รู้ตัว !

เมื่อเข้าสู่วัย 30 ร่างกายเราอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ มวลกระดูกบางลง หรือร่างกายอาจเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง เป็นต้น

นอกจากนี้ในสังคมที่ผู้คนง่วนอยู่กับการทำงาน จนอาจไม่มีเวลาดูแลตัวเอง อาจเสี่ยงโรคที่เราอาจคาดไม่ถึงเพิ่มมากขึ้น

วันนี้ Agnos จะพามาดูโรคและอาการที่สาวๆ อายุ 30 อาจต้องหมั่นสังเกตตัวเองและระวังให้มาก !

1. มะเร็งปากมดลูก Cervical Cancer

หลายๆคนอาจคิดว่า มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่ค่อนข้างไกลตัว เพราะที่ผ่านมาเราก็แข็งแรงมาตลอด ไม่ได้มีปัญหาหรือเจ็บป่วยง่ายๆ แต่รู้หรือไม่ว่า มะเร็งปากมดลูก ติด 3 อันดับ แรกๆของโรคมะเร็ง ที่ทำให้สาวๆเสียชีวิตมากที่สุดด้วย โดยในแต่ละวันอาจมีผู้เสียชีวิตถึง 7 คนต่อวัน !

ส่วนมากสาวๆในวัย 30 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงมากกว่า สาวๆที่อายุน้อยกว่า 30 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสาวๆที่อายุน้อยกว่า 30 จะไม่มีโอกาสเป็นนะ

มะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร ?

โรคมะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (Human Papilloma Virus) หรือ HPV ซึ่งส่วนมากจะติดจากการมีเพศสัมพันธ์ สามารถติดได้ทั้งสองเพศ เพราะฉะนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อตัวนี้ก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ถือได้ว่าเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

เชื้อไวรัสตัวนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์แต่จะมีอยู่ 40 สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์

โดยระยะฝักตัวไปเป็นมะเร็งของเชื้อไวรัส HPV อาจยาวนานถึง 8-10 ปีเลยทีเดียว แต่ปกติแล้ว หากเรามีร่างกายที่แข็งแรงและภูมิต้านทานที่ดี ร่างกายสามารถกำจัดไวรัสนี้ไปได้ โดยใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน

เชื้อไวรัส HPV สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน :

  1. มีความเสี่ยงสูงที่เซลล์ปากมดลูกจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง (High Risk HPV)

    สายพันธ์ุในกลุ่ม High Risk HPV ได้แก่ 16, 18, 31, 33, 39, 45, 51, 52, 56, 58, 59, 68, 35, 66
  2. เซลล์อาจกลายเป็นโรคอื่น (Low Risk HPV)

    สายพันธุ์ในกลุ่ม Low risk HPV ได้แก่ 6,11 ซึ่งอาจทำให้เป็นโรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศได้

โดยเชื้อ HPV สามารถทำให้เกิดโรคอื่นๆได้ เช่น

  • มะเร็งทวารหนัก
  • มะเร็งช่องปาก
  • มะเร็งที่อวัยวะเพศชาย


อีกหนึ่งความน่ากลัวของ มะเร็งปากมดลูก คือ  เจ้าเชื้อตัวนี้อาจใช้เวลาถึง 10 ปีในการพัฒนาไปเป็นมะเร็งโดยที่เราไม่รู้ตัว ! และแน่นอนว่าระยะแรกๆของมะเร็งปากมดลูก อาจไม่ได้มีการแสดงอาการใดๆเลย หรือมีอาการที่ค่อนข้างทั่วไป จึงยากที่ผู้ป่วยจะรู้ตัวและคิดว่าอาการเหล่านี้คือสัญญาณเตือนของมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้หากได้รับเชื้อตัวนี้เข้าไป เท่ากับเราเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกทันที

อาการของโรคมะเร็งปากมดลูก

  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • เลือดออกจากช่องคลอด (แม้ไม่เป็นประจำเดือน)
  • เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ปัสสาวะไม่ค่อยออก
  • ปัสสาวะ อุจจาระเป็นเลือด
  • ปวดท้องน้อย
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลีย
  • ตกขาวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
  • ตกขาวปนเลือด

***หากมีอาการรุนแรง หรืออยู่ในระยะลุกลาม อาจมีอาการปวดหลัง ขาบวม และไตวายได้


เราจะป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้ยังไงบ้าง ?

ในปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าไวรัสชนิดนี้โดยตรง แต่สามารถป้องกันได้ โดย

  • การตรวจ PAP Test หรือ HPV Test หากพบว่าติดเชื้อ HPV แต่เชื้อยังไม่ได้พัฒนาไปเป็นมะเร็งก็สามารถรักษาได้ และไม่เป็นมะเร็งนั่นเอง
  • การป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
  • การลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน



2. เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids)

เป็นอีกหนึ่งโรคฮิตของสาวๆวัยทำงาน สาวในช่วงอายุ 30-45 ปี จะมีความเสี่ยงเป็น เนื้องอกในมดลูก มากกว่าสาวๆในวัยอื่นๆ โดยเป็นมากถึงประมาณ ร้อยละ 20-25 ของผู้หญิงวัยทำงาน และในทุกๆ 1,000 คนที่เป็นเนื้องอกในมดลูก จะมี 1 คนที่เนื้องอกนั้นจะกลายมะเร็งอีกด้วย !

ขนาดของเนื้องอกจะแตกต่างกันออกไป ในผู้ป่วยบางรายอาจพบเนื้องอกแค่ก้อนเดียว บางรายก็มีได้หลายก้อนเช่นกัน


เนื้องอกไปเกิดในมดลูกของเราได้ยังไง ?
ทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งเอสโตรเจนและโพรเจสเทอโรน ที่อาจไปกระตุ้นการเติบโตของเยื่อบุมดลูกจนกลายเป็นเนื้องอกได้

นอกจากนี้ การกินอาหารที่ไปกระตุ้นฮอร์โมนเพศหญิงมากเกินไป อาจทำให้เสี่ยงเป็นเนื้องอกในมดลูกได้ เช่น น้ำมะพร้าว เต้าหู้ขาว หรือน้ำเต้าหู้ เป็นต้น


แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ…ว่าเรามีเนื้องอกในมดลูก ?

อาการและสัญญาณเตือนของเนื้องอกในมดลูกในแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป บางคนอาจเริ่มมีอาการตั้งแต่เนื้องอกยังมีก้อนเล็ก ในขณะที่บางคนกว่าจะรู้ตัว เนื้องอกก็ได้โตและมีขนาดใหญ่ซะแล้ว

โดยส่วนมากอาการของเนื้องอกในมดลูกค่อนข้างจะทั่วไป ทำให้หลายๆคนมองข้ามไปได้


สัญญาณเตือนของเนื้องอกในมดลูก

  • ปวดท้องน้อยบ่อยๆ และเป็นระยะๆ ปวดมาก ปวดน้อยสลับกันไป
  • มีเลือดออกผิดปกติในช่องคลอด
  • ท้องผูกอยู่บ่อยๆ
  • ปัสสาวะบ่อยๆ
  • แน่นท้อง ท้องบวม คล้ายคนท้อง


รักษาเนื้องอกในมดลูกยังไงได้บ้าง ?

  • หากก้อนเนื้อมีขนาดเล็ก ประมาณ 0.5 - 2 เซนติเมตร โดยไม่ได้มีอาการอื่นๆใดๆ อาจไม่ได้มีความจำเป็นต้องผ่าออก อาจเฝ้าสังเกตอาการเป็นระยะๆ มาตรวจตามที่แพทย์นัด และอาจมีการอัลตราซาวด์ทุกๆ 6 เดือน หรือหนึ่งปี
  • การใช้ยา เช่น ยาคุมกำเนิด หรือการฉีดยาฮอร์โมน เพื่อกดการทำงานของฮอร์โมนเพศ
  • การผ่าตัด โดยการผ่าตัดมี 2 แบบ คือ การผ่าตัดแบบเก็บมดลูกไว้  หรือ ไม่เก็บมดลูกไว้นั่นเอง

การผ่าตัดแบบเก็บมดลูกไว้ มีทั้งแบบส่องกล้องและเปิดหน้าท้อง โดยการเลือกวิธีผ่านั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์


การป้องกัน

ในปัจจุบัน ยังไม่มีการป้องกัน เนื้องอกในมดลูกโดยตรง แต่การมีพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตที่ถูกสุขลักษณะคงจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยป้องกันชั้นดีเลยล่ะ

และแน่นอนว่าการไปตรวจเช็กร่างกาย หรือตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถป้องกันและรักษาเนื้องอกในมดลูกได้อย่างทันเวลา



3.มะเร็งเต้านม (Breast Cancer)

อีกหนึ่งมะเร็งที่พบได้บ่อยมากในผู้หญิง และผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้ด้วยนะ !

จากสถิติทั่วโลก พบว่า 1 ใน 8 ของผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านม

ในปี 2020 มีผู้หญิง 2.3 ล้านคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม

นอกจากนี้มีผู้เสียชีวิต 685,000 คนทั่วโลก

สิ้นปี 2020 มีผู้หญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ 7.8 ล้านคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับได้ว่ามะเร็งเต้านมเป็นหนึ่งในมะเร็งที่แพร่หลายมากที่สุดในโลก

สัญญาณเสี่ยงว่าเราเป็นมะเร็งเต้านม

ในระยะแรกๆของมะเร็งเต้านมอาจไม่ได้มีอาการเจ็บปวดหรืออาการใดๆ ทำให้หลายๆคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม !

  • คลำพบก้อนที่เต้านม
  • ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงไป
  • ผิวหนังบริเวณเต้านมผิดปกติ เช่น มีรอยบุ๋ม รอยย่น ผิวคล้ายเปลือกส้ม หรือมีสะเก็ด
  • หัวนมผิดปกติ เช่น หัวนมมีการหดตัว หัวนมบอด คัน แดง
  • มีเลือดหรือของเหลวผิดปกติออกทางหัวนม
  • เจ็บที่เต้านม
  • มีก้อนที่รักแร้


เราสามารถตรวจเช็กมะเร็งเต้านมเบื้องต้นด้วยตัวเองยังไงได้บ้าง ?


ทำโดยนั่งหรือยืนหน้ากระจกเงา แล้วยกมือ2ข้างท้าวเอว

หรือยกมือประสานนิ้วไว้ที่ต้นคอ หรือยกมือชูขึ้นเหนือศีรษะก็ได้

แล้วสังเกตดูสิ่งต่อไปนี้

  • หัวนม : ตำแหน่งหัวนมควรจะอยู่ระดับเดียวกัน ชี้ออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย สีผิวหัวนมเหมือนกัน รูปร่างคล้ายกัน หัวนมไม่ควรถูกดึงรั้งเอนไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ควรมีน้ำเหลืองหรือน้ำเลือดไหลออกจากหัวนม
  • ฐานหัวนม : ควรมีผิวเนียน และสีเสมอกัน ไม่ควรมีรอยนูนจากก้อนใต้ผิวหนังดันผิวให้นูนขึ้นมา หรือรอยบุ๋มจากก้อนมะเร็งดึงรั้งผิวลงไป ไม่ควรมีแผลผิวถลอก หรือแผลจากก้อนนูนแตกออกมาที่ผิว
  • ผิวเต้านม : ควรมีผิวเนียน สีผิวเสมอกัน ไม่ควรมีลักษณะผิวบวมหนาหรือเห็นรูขุมขนใหญ่ มองเห็นชัดเป็นลักษณะเหมือนผิวส้ม ไม่ควรมีรอยนูนตะปุ่มตะป่ำผิดปกติจากก้อนมะเร็งดันผิวหนัง ไม่ควรมีรอยบุ๋มจากก้อนมะเร็งดึงรั้ง ไม่ควรมีสีแดงคล้ำ ไม่ควรมีรอยแผลแตกที่ผิวหนังหรือมีเลือดและน้ำเหลืองไหลจากผิว
  • ระดับและขนาดเต้านม : เต้านมทั้ง 2 ข้างควรจะอยู่ระดับเดียวกัน ควรมีขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกัน ไม่ควรถูกก้อนมะเร็ง ดึงรั้งเต้านมขึ้น หรือถูกถ่วงให้ห้อยลงมา ผิดปกติ

หลังจากดูลักษณะเต้านม 2 ข้างครบถ้วน เรียบร้อยแล้ว

ให้นั่ง ยืน หรือ นอนคลำเต้านมทั้ง 2 ข้าง

โดยยกมือข้างเดียวกับเต้านมที่จะตรวจไปท้าวเอว

หรือวางไว้ที่ต้นคอ หรือเหนือหัว และ

ใช้ปลายนิ้วมือด้านตรงข้ามคลำเต้านมข้างที่ยกมือขึ้น

กดและคลำเบาๆ หมุนไปโดยรอบเต้านม รอบฐานหัวนม หัวนม

จนถึงบริเวณรักแร้และเหนือไหปลาร้า

การคลำนั้นมีอยู่สามวิธีหลักๆ ได้แก่

  • คลำในแนวก้นหอย โดยสามารถคลำได้ในทิศทางทั้งทวนเข็มนาฬิกา หรือตามเข็มนาฬิกาก็ได้
  • การคลำในแนวดิ่ง จากใต้เต้านมจนถึงกระดูก ไหปลาร้า คลำจากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบนก็ได้
  • คลำในแนวรูปลิ่ม ทิศทางเป็นเส้นตรงรัศมีในออกนอก หรือนอกเข้าในก็ได้เช่นเดียวกัน

การคลำนั้นไม่ควรบีบเต้านมเพราะอาจจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อแข็งซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่


4.โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)

อีกหนึ่งโรคยอดฮิตของสาวๆอายุ 30 หรือสาวๆออฟฟิศ โดยโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ส่วนมากเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณระบบทางเดินปัสสาวะ และพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่าผู้ชาย จึงทำให้เชื้อโรคเข้าไปได้ง่ายกว่านั่นเอง

อาการของปัสสาวะอักเสบ

  • ปวดท้องน้อย
  • ปัสสาวะไม่สุด
  • ปัสสาวะบ่อย แต่ปัสสาวะได้ครั้งละน้อยๆ
  • มีอาการแสบ เสียว หรือเจ็บขณะปัสสาวะ
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • ปัสสาวะตอนกลางคืนอยู่บ่อยๆ
  • ปัสสาวะสีขุ่น
  • ถึงแม้จะปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะไม่ค่อยออก และมีอาการปวด

ในกรณีที่มีอาการรุนแรงอาจมีปัสสาวะผสมกับเลือด เนื่องจากมีการติดเชื้อบริเวณกรวยไต จนทำให้เกิดอาการอักเสบ

ปัสสาวะกี่ครั้งถึงเรียกว่าบ่อย ?

ปกติแล้วคนเราจะปัสสาวะประมาณ 6-8 ครั้งต่อวัน โดยไม่ได้มีอาการเจ็บหรือปวดใดๆ แต่หากเราปัสสาวะกะปริบกะปรอยประมาณ 8-10 ครั้ง หรือมากกว่าต่อวัน อาจเป็นสัญญาณของความเสี่ยงโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้

อะไรทำให้เกิดการติดเชื้อ ?

  • การกลั้นปัสสาวะ เนื่องจากเชื้อโรคในกระเพาะปัสสาวะมีเวลาเจริญเติบโตมากขึ้น
  • การติดเชื้อ เช่น การทำความสะอาดทวารหนักก่อน แล้วค่อยทำความสะอาดช่องคลอด หรือการใส่ผ้าอนามัยแบบสอด
  • การติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
  • การใช้ยาปฏิชีวนะสวนล้างทำความสะอาดช่องคลอด  อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคหายไป จึงเกิดการติดเชื้อเกิดขึ้น
  • การใช้ยากดภูมิต้านทาน
  • การใส่สายสวนปัสสาวะ

การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถรักษาได้ด้วย การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก โดยส่วนมากผู้ป่วยจะต้องกินยาปฏิชีวนะประมาณ 3 วันถึง 1 อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ผู้ป่วยต้องกินยาตามที่แพทย์สั่ง แม้จะไม่มีอาการในช่วงท้ายๆก็ตาม

สำหรับผู้ป่วยในช่วงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจให้ครีมในการทาช่องคลอด โดยครีมจะเป็นฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจนที่ช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น เพราะในวัยหมดประจำเดือน ร่างกายอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องคลอดเสียสมดุล และอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้กระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเป็นสัญญาณ หรืออาการแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ แพทย์จึงอาจตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของโรคและรักษาตามอาการ


5. มะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer)

อีกหนึ่งโรคมะเร็งที่สาวๆต้องระวัง !  มะเร็งรังไข่ คือการที่เรามีมะเร็งบริเวณรังไข่ของเรานั่นเอง โดยร่างกายของผู้หญิงนั้น จะมีรังไข่สองข้างและเจ้ามะเร็งร้าย ก็สามารถไปอยู่ได้ในทั้งสองข้างของรังไข่เรา


เนื้องอกในรังไข่สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • เนื้องอกธรรมดา (Benign Tumor) เนื้องอกชนิดนี้ไม่สามารถแพร่กระจายได้ จึงทำให้รักษาได้ง่าย เพียงแค่ผ่าออก ก็สามารถหายได้
  • เนื้อมะเร็ง (Malignant) สามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า เนื้อร้าย หรือมะเร็งที่เรารู้จักกันทั่วไป โดยหากได้รับการวินิจฉัยช้า อาจทำให้เจ้าเนื้อร้ายแพร่ไปยังอวัยวะอื่นได้

ประเภทของมะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆได้

 1.   Germ Cell Tumors หรือมะเร็งฟองไข่

   อาจเกิดจากเซลล์สืบพันธุ์ ส่วนมากพบในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี

 2.   Epithelium Tumors หรือมะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่

   อาจเกิดจากเซลล์ที่เยื่อบุผิวรังไข่และช่องท้อง เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุด

 3. Sex Cord Stromal Tumors หรือมะเร็งเนื้อรังไข่

   อาจเกิดจากเซลล์ที่เนื้อเยื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศ อย่าง Estrogen และ Progesteron

อาการปวดท้อง = เสี่ยงมั้ย?

อาการในระยะแรกของมะเร็งรังไข่นั้น ไม่ได้มีอาการที่ชัดเจนมากนัก จึงทำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงมองข้าม

อาการที่พบได้บ่อย คือ

  • ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
  • เรอบ่อย
  • ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • คลื่นไส้
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดปกติ
  • ท้องโตผิดปกติ
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ

ในผู้ป่วยบางรายที่มาพบแพทย์ในระยะโรคลุกลาม อาจคลำเจอก้อนเนื้อในท้องน้อย หรือมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน)

*ท้องมาน (Ascites) คือ ภาวะที่ของเหลวสะสมอยู่ระหว่างเยื่อหุ้มช่องท้อง และอวัยวะภายในช่องท้องมากเกินผิดปกติ

การรักษามะเร็งรังไข่

การรักษามะเร็งในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี แล้วแต่ระยะ และความรุนแรงของมะเร็ง

  • การผ่าตัด

เพื่อนำเอาก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบๆออก

  • การใช้เคมีบำบัด

ใช้ยาในการทำลายเซลล์มะเร็ง มีอยู่หลายรูปแบบ เช่นการใช้ยาเม็ด ฉีดเข้าเส้นเลือด หรือในช่องท้อง

  • การใช้รังสี

หลายๆคนอาจเคยได้ยินเรื่องการใช้รังสีเพื่อรักษามะเร็ง แต่การรักษาวิธีนี้อาจพบน้อยในมะเร็งรังไข่

โดยใช้รังสีทำลายเซลล์มะเร็ง หรือทำให้มีขนาดเล็กลง

  • การใช้ยารักษาตรงเป้า

ใช้ยา หรือสารอื่นๆ ที่มีผลเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง และเกิดอันตรายต่อเซลล์อื่นๆน้อยกว่ายาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี โดยส่วนใหญ่มักพบการรักษานี้ในมะเร็งรังไข่ระยะลุกลาม


มะเร็งนั้น ยิ่งตรวจพบได้ไว ก็จะยิ่งมีโอกาสรักษาหายได้มากขึ้น การหมั่นสังเกตตัวเองและตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ อาจเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความรุนแรงของมะเร็งและโรคอื่นๆได้


เราจึงอยากเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงย้ำเตือนให้ทุกคนคอยหมั่นเช็คร่างกายของตัวเอง และสังเกตอาการคนรอบข้างอยู่เสมอ ที่สำคัญที่สุด อาการป่วยเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หากพบอาการผิดปกติใดๆดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุด

“เราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทุกคนด้วยนะ”


อ้างอิง : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/เนื้องอกในมดลูก/

https://phyathai3hospital.com/home/เนื้องอกมดลูก/

https://www.vejthani.com/th/2021/07/อันตรายเนื้องอกมดลูก/

https://www.agnoshealth.com/articles/cervical-cancer-and-hpv-vaccine

https://www.hugsinsurance.com/article/popular-disease-people-over-30-years-old

https://www.paolohospital.com/th-TH/center/Article/Details/4-โรคสุดฮิตของผู้หญิงยุคนี้


เขียนโดย

Agnos Team

Agnos Team

แชร์

บทความนี้มีประโยช์นสำหรับคุณหรือไม่ ?

บทความที่เกี่ยวข้อง

AgnosITCAInsuretech

Agnos Health คว้ารางวัล ชนะเลิศจากงาน Insuretech Connect Asia Awards in Thailand และเป็นตัวแทนในการแข่งขันระดับนานาชาติ ที่งาน ITC Asia 2024 ณ ประเทศสิงคโปร์

Agnos Health นำ AI ตรวจโรคด้วยตนเอง เข้าร่วมเสนอไอเดียในรายการ Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในระบบสุขภาพไทย

ตรวจสุขภาพสมองBrainDi

BrainDi พลิกโฉมการตรวจสุขภาพสมองด้วยเทคโนโลยี AI นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากจุฬาฯ และ Agnos Health

cancer

มะเร็งปอด ภัยร้ายที่อยู่รอบตัว

เกี่ยวกับ Agnos

ติดต่อสอบถาม

บุคคลทั่วไป

ภาคธุรกิจ

สมัครร่วมทีม Agnos