AgnosHealth Logo

4 โรคที่สาววัย 20 ต้องระวัง !

ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)

แก้ไขล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2566

เขียนโดย

Agnos Team

Agnos Team

แชร์

ในช่วงอายุ 20-30 เนี่ย ถือได้ว่าเป็นช่วงที่เรากำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงานหรือการไปเผชิญโลกและสังคม จนอาจทำให้เราไม่ได้มีเวลามาสังเกตอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หรืออาจคิดว่ายังเป็นวัยที่แข็งแรงและไม่ได้มีโรค หรืออาการที่น่ากังวลใดๆ

แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า…ถึงแม้จะอายุเพียงแค่นี้ แต่ก็อาจเป็นโรคเหล่านี้ได้ !

วันนี้ Agnos จะพาสาวๆในช่วงวัย 20-30 มารู้จักโรคยอดฮิตของวัยนี้กัน !

1. ออฟฟิศซินโดรม Office Syndrome

หลายๆคนคงอาจรู้จัก ออฟฟิศซินโดรม กันมาบ้างอยู่แล้ว แต่จริงๆแล้ว ออฟฟิศซินโดรมเนี่ย ัมนไม่ใช่แค่อาการปวดหลังเรื้อรัง หรือปวดหลังธรรมดาอย่างที่เราคิด !

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คืออาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน จนทำให้เกิดอาการอักเสบ ปวด และเมื่อย โดยอาการปวด อาจเกิดขึ้นบริเวณ หัว คอ ไหล่ ตา มือ ขา และตามข้อต่างๆด้วยเช่นกัน

อาการของออฟฟิศซินโดรม

  1. มีอาการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน

ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดธรรมดา ปวดร้าวตามจุดต่างๆ หรือมีอาการปวดแบบล้าๆ บริเวณ คอ บ่า ไหล่ หลัง หรือสะโพก

โดยอาจเกิดจากการนั่งผิดท่าเป็นเวลานานนั่นเอง

2.  มีอาการของเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ

โดยอาจมีอาการ

  • เหน็บ
  • เหงื่อออก รู้สึกเย็น ขนลุก ตามบริเวณที่ปวดร้าว

นอกจากนี้ อาจมีอาการหูอื้อ ตาพร่า มึนงง ที่อาจเกิดจากอาการปวดร้าวบริเวณคอ

3. อาการจากการกดทับของเส้นประสาท

อาจมีการชาบริเวณขา แขน และมือ เป็นต้น รวมถึงอาการอ่อนแรงด้วย โดยอาจเกิดจากการนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน จนทำให้เส้นประสาทถูกกดทับนั่นเอง

4. มีอาการปวดเรื้อรัง

โดยอาจเกิดจากความเครียด ปวดหัวไมเกรน หรือจากการใช้สายตาจ้องคอมนานๆนั่นเอง

การรักษาออฟฟิศซินโดรม

วิธีที่ง่ายที่สุดและทำได้ในทันที คือ การยืดกล้ามเนื้อด้วยตัวเอง ประคบเย็น หรือ ประคบร้อนบริเวณที่ปวดเพื่อบรรเทาอาการ และปรับเปลี่ยนท่านั่งทำงานให้เหมาะสม

โดยการยืดกล้ามเนื้อจะสามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บ ป้องกันการฉีกขาด และทำให้เคลื่อนไหวได้ดีอีกด้วย

ส่วนการปรับเปลี่ยนท่านั่งให้เหมาะสม โดยอาจปรับระดับโต๊ะและเก้าอี้ให้อยู่ในระดับที่ทำงานได้สะดวก ไม่ต้องงอหลัง หรือก้มจนเกินไป รวมถึงเปลี่ยนท่าทาง รวมถึงการยืดกล้ามเนื้อทุกๆ 1 ชม. ด้วย

หากใครที่ต้องการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์หรือตัวเลือกอื่นๆก็สามารถทำได้เช่นกัน

  • การนวดแผนไทย
  • การทำกายภาพบำบัด
  • การฝังเข็ม
  • การกินยา

การกินยาควรปรึกษาเภสัชก่อนทุกครั้ง รวมถึงอ่านฉลากยาให้ครบถ้วน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลรับนั่นเอง

2.คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม Computer Vision Syndrome (CVS)

สำหรับสาวๆที่จำเป็นต้องจ้องคอมนานๆเพื่อการเรียน หรือการทำงานอย่างเราแล้ว คงหนีไม่พ้นภาวะนี้แน่นอน !

CVS เป็นภาวะที่เกิดจากการจ้องจอ หรืออุปกรณ์ดิจิทัลใดๆ เป็นเวลานานเกินไป รวมถึงใกล้เกินไป อาจทำให้เกิดอาการตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง ระคายเคือง ปวดตา รวมไปถึงปวดหัวและไหล่ด้วย

ถึงแม้ในตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า CVS ส่งผลระยะยาวหรือไม่กับดวงตาของเรา แต่อาจเสี่ยงอาการเหล่านี้ได้

  • ตาล้า ตาพร่า
  • ระคายเคืองตา
  • ตาแห้ง ตาแดง
  • มองเห็นภาพซ้อน
  • การมองเห็นสีเปลี่ยนไป
  • ตาปรับโฟกัสได้ช้าลง
  • ปวดหัว
  • ปวดคอหรือปวดหลัง

โดยอาการเหล่านี้จะเป็นเมื่อผู้ป่วยจ้องจอเป็นเวลาสองถึงสามชั่วโมง โดยไม่มีการหยุดพักสายตา


ถึงแม้อาจจะฟังดูไม่ได้รุนแรงมากนักและอาการของคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม นั้นมักไม่ส่งผลร้ายแรงอะไรในระยะยาว แต่อาจรบกวนชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการล้าที่ตา ตาพร่า ปวดหัว หรืออาจทำให้รู้สึกเหนื่อยและไม่ค่อยมีสมาธิ ซึ่งแน่นอนว่าอาจส่งผลถึงประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง


วิธีป้องกันคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

  • ควรพักสายตาทุก 20 นาที ด้วยการมองไปที่ไกลๆจากหน้าจอเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
  • ตั้งจอคอมพิวเตอร์ห่างจากตาอย่างน้อย 50-60 เซนติเมตร
  • ปรับมุมของจอให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 14-20 องศา เพื่อลดแสงสะท้อน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ อย่าง แว่นตากรองแสง หรือหน้าจอที่ช่วยลดแสงสะท้อน
  • ปรับความสว่างของจอ และห้องให้เหมาะสม
  • กะพริบตาถี่ขึ้น ประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที โดยต้องกะพริบตาให้เปลือกตาปิดสนิท

เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่าการจ้องอุปกรณ์ดิจิทัล เสี่ยงทำให้ตาแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการจ้องหรืออ่านหนังสือบนจอดิจิทัล อาจทำให้เรากระพิบตาน้อยลงกว่าครึ่งหนึ่ง (ปกติ 10-15 ครั้งต่อนาที) จนอาจทำให้น้ำตามาเลี้ยงดวงตาไม่มากพอ จนทำให้เกิดอาการตาแห้งนั่นเอง

3.โรคช็อกโกแลตซีสต์ Endometriosis

โรคช็อกโกแลตซีสต์ หรือ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่  เป็นอีกหนึ่งโรคใกล้ตัวของสาวๆ ที่ปวดประจำเดือนอยู่บ่อยๆ

โดยทางการแพทย์เชื่อว่า โรคช็อกโกแลตซีสต์ เกิดจากการที่ประจำเดือนของเราไหลย้อนกลับ โดยแทนที่จะไหลออกตามช้องคลอดปกติ แต่ประจำเดือนกลับไหลไปบริเวณหลอดมดลูกและเข้าไปในช่องคลอด และไปฝังตัวที่รังไข่ จนทำให้เกิดถุงน้ำ ถุงเลือดคั่ง หรือก้อนช็อกกแลตซีสต์นั่นเอง

อาการของโรคช็อกโกแลตซีสต์

  • ปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน และอาจปวดขึ้นเรื่อยๆ
  • ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือมามากกว่า 7 วัน
  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • ปวดหัวไมเกรน โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน

ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆเลย แต่อาจคลำพบก้อนแข็งๆ บริเวณตรงกลาง หรือด้านข้างท้องน้อย หากมีอาการแบบนี้แปลว่าถุงน้ำดีโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่และอยู่ในระยะที่อันตราย ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาทันที

การรักษา

การรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์ ส่วนมากจะเน้นไปที่การผ่าตัดผ่านกล้อง โดยข้อดีของการผ่าตัด คือ

  • แผลเล็กมาก ไม่เกิน 1 เซนติเมตร
  • เจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้นระหว่างและหลังการผ่าตัด
  • ฟื้นตัวเร็ว

4.กรดไหลย้อน GERD

ถือได้ว่า บางคนเป็นกรดไหลย้อนบ่อยกว่าเป็นหวัดธรรมดาซะอีก !

กรดไหลย้อน (Gerd) เป็นภาวะที่น้ำย่อยหรือน้ำกรดในกระเพาะไหลย้อนกลับมาในหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารจะเกิดการอักเสบ จนทำให้เราแสบกลางอก เรอเปรี้ยว เรอบ่อย และคลื่นไส้ นั้นเอง

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการ อย่าง อาเจียน จุกเสียดแน่นท้อง ขมบริเวณคอและปาก มีอาหารย้อนขึ้นมาในปากและคอ ไอแห้ง หรือแม้กระทั้งถ่ายเป็นเลือดหรือสีดำ

สาเหตุของกรดไหลย้อนมีค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากความผิดปกติของร่างกายเอง หรือพฤติกรรมของเราเอง ก็เป็นเหตุให้เราเป็นกรดไหลย้อนได้หมด

สาเหตุจากความผิดปกติของร่างกายอย่าง

ความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานกว่าปกติ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมของผู้ป่วย หรือเกิดการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร

สาเหตุของกรดไหลย้อนจากพฤติกรรม

‘การกินแล้วนอน’  ที่ในสมัยก่อนเราคงจะได้ยินผ่านหูมาบ้างเวลาผู้ใหญ่ชอบมาบอกว่า ‘กินแล้วนอน ระวังจะกลายเป็นงู’ อาจเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันกรดไหลย้อนอีกแบบก็ได้

การที่เราอยู่ในท่านอน ทำให้หูรูดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และอาจทำให้กรดไหลย้อนขึ้นไปได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้คนที่กินแล้วนอนในทันที ยังเสี่ยงต่อการเป็นกรดไหลย้อนถึง 2 เท่า!

วิธีป้งอกันและการรักษา

การเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคกรดไหลย้อน เช่น การไม่เข้านอน หรือนอนลงทันทีหลังกินอาหาร กินอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตราฐาน


แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา เช่น ยาเคลือบกระเพาะอาหาร

ยาลดการหลั่งกรด ซึ่งการใช้ยาทั้งหมดควรอยู่ในการดูแลของแพทย์**

การรักษาด้วยยาส่วนมากจะได้ผลลัพท์ที่ดี แต่ผู้ป่วยอาจต้องกินยาเป็นเวลานาน และเมื่อหยุดยา ผู้ป่วยอาจมีอาการกลับมาใหม่ได้


นอกจากการใช้ยาการผ่าตัดรักษา อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกให้ผู้ โดยอาศัยเพียงการผ่าตัดผ่านกล้อง ทำให้ลดอาการเจ็บจากการผ่าตัดได้ และมีผลการผ่าตัดที่ดีนั่นเอง


โรค หรือ อาการเหล่านี้สามารถป้องกันได้ หากเราหมั่นสังเกตและตรวจเช็กร่างกายของตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ

Agnos ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงเรื่องความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางโรคอาจไม่มีอาการเลย กว่าจะรู้ อาจทำให้การรักษานั้นมีความยากมากขึ้น


ทาง Agnos เองก็มีโปรแกรมตรวจสุขภาพกับทาง PCT แลป ที่ได้มาตราฐานเทียบเทาสโรงพยาบาลชั้นนำ และเริ่มต้นแพ็กเกจเพียง 1,399.- หากสนใจสามารถสอบถามได้ที่ เพจFacebook : Agnos health หรือ line add : @agnos


อ้างอิง : https://www.agnoshealth.com/en/articles/3-eye-diseases

https://www.agnoshealth.com/diseases/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A1

https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/

https://www.tmwa.or.th/new/view.php?topicid=341

https://www.agnoshealth.com/articles/can-gerd-make-you-die

https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article

https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/chocolate-cysts#

เขียนโดย

Agnos Team

Agnos Team

แชร์

บทความนี้มีประโยช์นสำหรับคุณหรือไม่ ?

บทความที่เกี่ยวข้อง

AgnosITCAInsuretech

Agnos Health คว้ารางวัล ชนะเลิศจากงาน Insuretech Connect Asia Awards in Thailand และเป็นตัวแทนในการแข่งขันระดับนานาชาติ ที่งาน ITC Asia 2024 ณ ประเทศสิงคโปร์

Agnos Health นำ AI ตรวจโรคด้วยตนเอง เข้าร่วมเสนอไอเดียในรายการ Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในระบบสุขภาพไทย

ตรวจสุขภาพสมองBrainDi

BrainDi พลิกโฉมการตรวจสุขภาพสมองด้วยเทคโนโลยี AI นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากจุฬาฯ และ Agnos Health

cancer

มะเร็งปอด ภัยร้ายที่อยู่รอบตัว

เกี่ยวกับ Agnos

ติดต่อสอบถาม

บุคคลทั่วไป

ภาคธุรกิจ

สมัครร่วมทีม Agnos